week 4.1 วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


บทที่2วิธีการสอนและเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ



1.   วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child Center)

1.1 วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem-Solving Method)


วิธีสอนนี้ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา หลักใหญ่อาศัยวิธีการสอนที่ใช้แก้ปัญหาของนักเรียน โดยครูเป็นผู้ชี้แนะเท่านั้น วิธีแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific Method) ทุกประการคือ
          - กำหนดขอบเขตของปัญหา (Location of Problem)
          - ตั้งสมมติฐาน (Setting up of Hypothesis)
          - ทดลองและรวบรวมข้อมูล (Experimenting and Gathering of Data)
          - วิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of Data)
          - สรุป (Conclusion)
  จอห์น ดิวอี้ เป็นผู้คิดวิธีสอนแก้ปัญหานี้ขึ้น โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้ศึกษาและฝีกฝนวิธีการแก้ปัญหาต่างๆที่พบในชีวิตประจำ วันได้อย่างเป็นกระบวนการ สมเหตุสมผลและมีหลักเกณฑ์ อันเป็นการเตรียมเด็กหนุ่มสาวให้สามารถปรับปรุงตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและ ความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ โดยนำความรู้และประสบการณ์จากหลายๆสาขาวิชามาประกอบกันในการแก้ปัญหานั้นๆ
ความมุ่งหมาย
           ฝึกทักษะการสังเกต การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ ตีความและสรุปและทักษะในการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิธีที่มีเหตุผลซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้เรียน
ขั้นตอนการสอน
         ขั้นที่1 กำหนดปัญหา เป็นขั้นที่ครู นักเรียน หรือครูกับนักเรียนกำหนดปัญหา ขันโดยวิธีการต่างๆ เช่น ถามนำเข้สู่บทเรียน เล่าเรื่องหรือประสบการณ์ แล้ตั้งปัญหา ใช้สถานการณ์ในชุมชนมาตั้งปัญหา จัดสถานการณในห้องเรียนกระตุ้นให้เกิดปัญหาเป็นต้น
         ขั้นที่ 2 ขั้นวิเคราะห์ปัญหา เมื่อ ได้ปัญหาจากขั้นที่ 1 มาแล้ว ครูจะนำนักเรียนให้คิดพิจารณาปัญหา จากนั้นก็จะแบ่งกลุ่ม เพื่อรับผิดชอบในการแก้ปัญหาแต่ละข้อ การสอนขั้นนี้จะจบลงด้วยการเสนอแนะแหล่งความรู้ที่แต่ละกลุ่มควรไปค้นคว้าหา คำตอบเพื่อแก้ปัญหา
         ขั้นที่ 3 ตั้งสมมุติฐาน เป็นขั้นที่นักเรียนคาด เดาว่าปัญหานั้นๆมีสาเหตุมาจากอะไร หรือวิธีการแก้ปัญหานั้นน่าจะแก้ไขโดยวิธีใด หรือปัญหานั้นควรมีคำตอบว่าอย่างไร เป็นต้น
         ขั้นที่ 4 เก็บรวบรวมข้อมูล นัก เรียนแต่ละกลุ่มจะไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพื่อแก้ปัญหาด้วยการทำกิจกรรม ต่างตามที่ว่างแผนไว้ในขั้นที่ 2 เช่น อ่านหนังสือ สัมภาษณ์ผู้รู้ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ ทำแผนภูมิ ทำแผนผัง ทำสมุดภาพ ชมภาพยนต์หรือวิดีทัศน์ ทดลองปฏิบัติ เป็นต้น ขณะทำกิจกรรมครูจะคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
         ขั้นที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูล เป็น ขั้นตอนแต่ละกลุ่มร่วมกันนำข้อมูลที่ไปค้นคว้าหรือทดลองมาวิเคราะห์และส้ง เคราห์ หาคำตอบที่ต้องการ หรือพิสูจน์ว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้นั้น ถูกต้องหรือไม่ คำตอบที่ถูกคืออะไร
         ขั้นที่ 6 สรุปผล เป็นขั้นที่นักเรียนสรุปผลการเรียนรู้และหลักการที่ได้จากการศึกษาหาปัญหานี้ วิธี สอนแบบแก้ปัญหา นอกจากจะช่วยฝึกให้นักเรียนรู้จักการแก้ปัญหาอย่างมีหลักเกณฑ์และรู้จักคิด อย่างมีเหตุผลแล้ว ยังช่วยปลูกฝังนักเรียนมีนิสัยรักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใส่ตน และมีจิตสำนึกทางประชาธิปไตยอีกด้วย
ขั้นประเมินผล
ผู้สอนประเมินผลการทำงานของผู้เรียน แล้วจึงให้ผู้เรียนทราบข้อดีและข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข
ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการสอนแบบแก้ปัญหา
ข้อดี
    1.ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล
    2.ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่างๆ
    3.เป็นการฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม และฝึกการรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ข้อจำกัด
    1.ผู้เรียนต้องดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ถ้าผิดไปจะทำให้ได้ผลสรุปที่คลาดเคลื่อนหรือผิดจริงไป
    2.ผู้เรียนต้องมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูลจึงจะสรุปได้ดี
    3.ถ้าผู้สอนไม่มคุ้นเคยกับวิธีการสอนทางวิทยาศาสตร์อาจนำไปผิดทางได้
    4.การกำหนดปัญหาถ้าเลือกปัญหาไม่ไดีจะทำให้การเรียนการสอนไม่ดีเท่าที่ควร
อ้างอิงจาก:  http://yupawanthowmuang.wordpress.com.



           1.2 วิธีการสอนแบบแสดงบทบาท (Role Playing)
                   วิธีการสอนแบบแสดงบทบาท เป็นการสอนที่กำหนดให้ผู้เรียน แสดงบทบาทตามสมมติขึ้นมาเทียบเคียงกับสภาพที่เป็นจริงหรือแสดงออกตามแนวที่คิดว่าควรจะเป็น เพื่อให้ผู้ดูเกิดความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นการแสดงบทบาทสมมติจะช่วยให้เกิดความสนใจ ฝึกกล้าที่จะแสดงออก เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ตรึงเครียดของเด็ก การแสดงบทบาทสมมติต่างจากเกมจำลองสถานการณ์ ตรงที่ไม่มีเกณฑ์และการแข่งขัน


 การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่อง ปัญหาต่างๆ หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้า แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอันเป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน
              วราภรณ์  ศุนาลัย  (2536, หน้า 35 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 18)  กล่าวว่า การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ  เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่อง  ปัญหาต่างๆ  หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง  แล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้า  แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอันเป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่างๆ  ที่อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน  นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถแสดงบทบาทในชั้นเรียน  โดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า
                วารี  ถิรจิตร  (2534, หน้า 186  อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 18)  กล่าวว่า บทบาทสมมติ   หมายถึง  การสมมติบทบาทและจัดสถานการณ์ให้ผู้แสดงบทบาทได้แสดงความรู้สึกนึกคิดอารมณ์จากสถานการณ์ที่สมมติขึ้นซึ่งอาจจะเตรียมมาก่อน  ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมติ  จะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงบทบาทความรู้สึกนึกคิดของผู้แสดง  ผู้ดูและมีการสรุปผลของการแสดงบทบาทนั้นด้วย
                การแสดงบทบาทสมมติเป็นการฝึกให้ผู้แสดงได้ประสบกับสถานการณ์จริงในสภาพของการสมมติ   ขึ้นมา  ทั้งนี้เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้ทดลองและเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมของตนอย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะต่างๆ
                การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ  (Role Playing)  คือ  เทคนิคการสอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ที่สมมติขึ้น  นั่นคือแสดงบทบาทที่กำหนดให้  การแสดงบทบาทสมมติมี  2  ลักษณะ  คือ
                1.  ผู้แสดงบทบาทสมมติจะต้องแสดงบทบาทของคนอื่น โดยละทิ้งแบบแผนพฤติกรรมของตนเองหรือการเปลี่ยนบทบาทซึ่งกันและกันกับเพื่อนหรือเป็นบุคคลสมมติ
                2.  ผู้แสดงบทบาทจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตน  แต่ปฏิบัติอยู่ในสถานการณ์ที่อาจพบในอนาคต  บทบาทสมมติประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนทักษะเฉพาะ
                บทบาทสมมติที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนอยู่ในปัจจุบันนี้  แยกได้เป็น  3  วิธี  ดังนี้
                1.  การแสดงบทแสดงละคร  วิธีนี้ผู้ที่จะแสดงต้องฝึกซ้อมแสดงท่าทางตามบทที่กำหนดขึ้นไว้แล้ว  เช่น  การแสดงละครเรื่องที่เกี่ยวกับบทเรียนในหนังสือเรียนภาษาไทย  ผู้แสดงบทบาทสมมติแบบละคร  จะต้องพูดตามบทบาทที่ผู้เขียนกำหนดขึ้น
                2.  การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้  ผู้แสดงต้องไม่ฝึกซ้อมมาก่อนเรียนไปถึงเรื่องใดตอนใดก็ออกมาแสดงได้ทันที  โดยแสดงไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง  เช่น  แสดงเป็นบุคคลต่างๆ  ในชุมนุมชน  เป็นหมอ  เป็นทหาร  เป็นตำรวจ  นักเรียนได้คิด  ได้พูดและแสดงพฤติกรรมจากความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง
                3.  การใช้บทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม  ผู้สอนได้เตรียมบทมาไว้ล้วงหน้าบอกความคิด        รวบยอดให้ผู้แสดงทราบ  ผู้แสดงอาจต้องแสดงตามบทบาทบ้าง  คิดบทบาทขึ้นแสดงเองตามความพอใจบ้าง   แต่ต้องตรงกับเนื้อเรื่องที่กำหนดให้
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
                1.  ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ  แบ่งเป็น  2  ขั้นตอน  ดังนี้
                     1.1  ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ  ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อนว่า  ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้อะไรบ้างจากการแสดงและกรรมวิธีในการใช้บทบาทสมมตินำไปเพื่อต้องการให้เกิดอะไรขึ้น
                     1.2  ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ  เมื่อผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะในการเตรียมใช้บทบาทสมมติแล้ว  ก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว  ซึ่งจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงวัยของผู้เรียน  เนื้อหาสาระ  ปัญหา  ความเป็นจริง  ข้อโต้แข้ง  ตลอดจนอุปสรรคที่จำเป็นต่างๆ  ที่ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด  ปฏิบัติและแก้ไขด้วยตนเอง
                2.  ขั้นแสดงบทบาทสมมติ  แบ่งเป็น  7  ขั้นตอน  ดังนี้
                     2.1  การนำเข้าสู่สถานการณ์  ผู้สอนเตรียมเรื่องหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียน แล้วนำเรื่องราวมาเล่าให้ผู้เรียนฟัง  เพื่อเป็นการเร้าความสนใจ เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนและ   อยากติดตาม  และควรให้ผู้เรียนได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ จากการที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงบทบาทสมมตินั้นๆ      
                     2.2  การกำหนดตัวผู้แสดง  การเลือกผู้แสดงขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอนและ    การแสดงสำหรับการเลือกตัวผู้แสดง  ควรให้ผู้เรียนอาสาสมัครมาแสดงบทบาทด้วยความเต็มใจ
                     2.3  การจัดสถานที่  ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ร่วมมือในการจัดสถานที่สำหรับการแสดงบทบาทสมมติ  ซึ่งควรจัดและดัดแปลงให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่กำหนดไว้
                     2.4  การกำหนดตัวผู้สังเกตการณ์ โดยผู้สอนอาจจะกำหนดผู้เรียนกลุ่มหนึ่งให้เป็น          ผู้สังเกตการณ์ในการแสดงบทบาท  โดยฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตและรวบรวมข้อมูลต่างๆ  เพื่อนำมาวิเคราะห์  อภิปราย  และแก้ปัญหาร่วมกัน  หลังจากสิ้นสุดการแสดงบทบาทสมมติแล้ว
                     2.5  การเตรียมพร้อมก่อนการแสดง  วิธีเตรียมความพร้อมนั้นผู้สอนต้องเป็นผู้ช่วยเหลือไม่ให้ผู้เรียนต้องมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแสดงให้มากเกินไป  ควรชี้แจงให้ผู้แสดงทราบว่า  การแสดงก็เหมือนกับการพูด  คุย  และเล่นกันธรรมดา  เพียงแต่ต้องแสดงบทบาทต่างๆ  ตามที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น
                      2.6  การลงมือแสดง  เมื่อผู้แสดงพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือแสดงได้เลย  ควรเปิดโอกาสให้   ผู้แสดงได้ใช้ความสามารถของตนได้เต็มที่  ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในขณะที่แสดง  ผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไขสถานการณ์  เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามธรรมชาติและราบรื่นต่อไป
                      2.7  การตัดบท  ถ้าบังเอิญการแสดงของผู้เรียนยืดเยื้อและใช้เวลานานเกินความจำเป็นและผู้สอนที่ความคิดเห็นว่าได้ข้อมูลในการแสดงพอสมควรแล้ว  ก็สามารถขอให้ยุติการแสดง   เพื่อจะได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และอภิปรายและแก้ไขปัญหาต่างๆ  ต่อไป
                3.  ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผล  การนำข้อมูลที่ได้จากการแสดงมาวิเคราะห์และอภิปราย  ผู้สอนและผู้เรียนต้องร่วมมือกัน  แต่ควรอภิปรายในรูปแบบของความมีเหตุมีผลเฉพาะการแสดงออกของผู้แสดงทางพฤติกรรมเท่านั้น  แต่จะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผู้แสดง
                4.  ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป  เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแล้ว  ผู้สอนจะเป็นผู้เร้าและจูงใจให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ  เพื่อให้มีแนวคิดกว้างขวางขึ้น  โดยให้ข้อคิดว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือประสบพบเห็นนั้นๆ  จะเกี่ยวข้องกับความเป็น จริงทั้งสิ้น  แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันให้แนวมโนทัศน์และช่วยกันสรุปประเด็นให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติที่กำหนดไว้
                บุญชม  ศรีสะอาด  (2541, หน้า 62  อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 20)  ได้เสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ  ไว้ดังนี้
                1.  ผู้สอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ  และสิ่งที่ต้องการให้ผู้สังเกตศึกษาจากการแสดงบทบาทสมมตินั้น
                2.  ผู้สอนต้องเตรียมสถานการณ์  และมีคำอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนสำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาทแต่ละคน  ซึ่งจะต้องจดจำสถานการณ์ที่ตนจะต้องแสดงบทบาทไว้ให้แม่นยำ  มีความเข้าใจในบทบาทของตนอย่างรู้แจ้ง  สถานการณ์และบทบาทที่กำหนดมักพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษเพื่อมอบให้ผู้แสดงได้ศึกษา
                3.  ควรให้เวลาในช่วงสั้นๆ  สำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาทสมมติได้ประมวลความคิดซักซ้อมและ     เตรียมการ
                4.  ในการแสดงบทบาทสมมติ  จะต้องมีบรรยากาศที่เสรีและความรู้สึกปลอดภัย              
                5.  อาจมีการปรับปรุงและแสดงกิจกรรมบางตอนใหม่
                6.  หลังจากการแสดงบทบาทสมมติควรมีการอภิปรายถึงพฤติกรรมที่แสดงและประเมินผลการปฏิบัติของผู้เรียน  โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 
                     6.1  แต่ละคนแสดงบทบาทได้สมจริงเพียงใด
                     6.2  มีความแตกต่างของบทบาทที่แสดงในทางใด
                     6.3  การแสดงบทบาทเปลี่ยนแปลงแนวคิดของท่านเกี่ยวกับตัวละครที่แสดงอย่างไร
                     6.4  อะไรคือจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสำหรับบทเรียนนี้





 1.3 วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)
วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการสอนโดยนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เป็นโอกาสให้นักเรียนได้ต้นพบปัญหาและวิธีการแก้ไข ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้น วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ เหมาะสำหรับ การศึกษา ค้นคว้า ทดลอง แบบง่ายๆ ซึ่งจะต้องจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับวัย และระดับความสามารถของผู้เรียนจึงจะบังเกิดผล

ความหมาย วิธีสอนแบบแก้ปัญหา เป็นวิธีสอนที่ให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหา
โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Nehod) ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มีขั้นตอน มีเหตุผล มีการรวบรวมข้อมูล มีการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล ดังนั้น จึงอาจเรียก วิธีสอนแบบนี้ว่า
1. ความหมายของการสอนแบบแก้ปัญหา
  1. มุ่งฝึกทักษะการสังเกต การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ตีความ และสรุป
  2. มุ่งฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิธีที่มีเหตุผล ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการที่ผู้เรียนจะนำวิธีการไปใช้แก็ปัญหาที่พบในชีวิตประจำวันได้
  3. มุ่งฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผล และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
  4. มุ่งฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความคิดอิสระและการทำงานร่วมกลุ่มกับเพื่อน
  5. 2.              ขั้นตอนการสอนของการสอนแบบแก้ปัญหา
    1. 1.              ขั้นเตรียม
1.1      ผู้สอนศึกษาแผนการสอน เนื้อหา และจุดประสงค์การสอนอย่างละเอียด
1.2      ผู้สอนวางแผนกำหนดกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติเป็นขั้นตอนตามลำดับ
2. ขั้นดำเนินการสอน
2.1      ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหา และ
กำหนดของเขตของปัญหา ผู้สอนอาจใช้วิธีเล่าเรื่อง สร้างสถานการณ์จำลอง อภิปราย ศึกษากรณี เฉพาะราย ฯลฯ เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นปัญหานั้น ถ้ามีหลายปัญหาอาจแยกเป็นข้อๆ ได้ ดังนั้นบทบาทของผู้สอนในขั้นนี้คือ
1)นำทางให้ผู้เรียนเห็นปัญหา
2) จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหา
3)ช่วยตั้งจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาให้ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน

2.2 ขั้นตั้งสมมุติฐาน  เป็นขั้นวางแนวทางที่จะหาคำตอบของปัญหา โดยให้ผู้เรียน
ตั้งสมมุติฐานว่า ปัญหานั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร หรือวิธีการแก้ปัญหานั้นน่าจะแก้ไขได้โดยวิธีใดบ้าง บทบาทของผู้สอนในขั้นนี้ คือ
1)            ช่วยผู้เรียนวางแผนจะแก้ปัญหาได้โดยวิธีใดบ้าง
2)            แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มรับผิดชอบงานตามความสามารถและความสนใจ
2.3 ขั้นรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นที่ผู้เรียนศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เพื่อเป็นข้อ
มูลใช้ในการแก้ปัญหา โดยอาจค้นคว้าจากตำรา เอกสารต่างๆ จากการสัมภาษณ์ ซักถามผู้เชี่ยวชาญ  ฯลฯ แล้วจดบันทึกข้อมูลไว้ บทบาทของผู้สอนในขั้นนี้คือ
1)            แนะนำแหล่งความรู้เพื่อค้นคว้าหาข้อมูล
2)            ติดต่อบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญล่วงหน้าเพื่อให้สัมภาษณ์แก่ผู้เรียน
2.4       ขั้นทดลองและวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นที่ผู้เรียนนำข้อมูลมาพิจารณาโดยเริ่ม
จากการทดลองปฏิบัติดู และนำผลจากการทดลองวิเคราะห์ว่าวิธีใดใช้ได้ผลในการแก้ปัญหาอาจใชได้หลายวิธีแตกต่างกันไป บทบาทของผู้สอนในขั้นนี้คือ
1)            สังเกตการทดลองหรือวิธีการแก้ปัญหาของผู้เรียน และให้คำแนะนำเมื่อจำเป็น
2)            อำนวยความสะดวกด้านวัสดุอุปกรณ์ และสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่ผู้เรียนต้องการใช้ในการทดลองและการวิเคราะห์ข้อมูล
2.5       ขั้นประเมินและสรุปผล เป็นขั้นสุดท้ายของลำดับขั้นสอน เมื่อผู้เรียนได้ทำ
การทดลองและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากขั้นที่ 2.4  แล้ว ผู้เรียนย่อมสามารถประเมินผลวิธีการแก้ปัญหาและสรุปได้ว่า วิธีการใดได้ผลดีที่สุดในการแก้ปัญหานั้น บทบาทของผู้สอนในขั้นนี้คือ
1)            ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มรายงานวิธีการแก้ปัญหาตั้งแต่ขั้นที่ 1 จนถึงขั้น ที่ 5
3.              ขั้นประเมินผล
ผู้สอนประเมินผลการทำงานของผู้เรียน แล้วแจ้ให้ผู้เรียนทราบข้อดีและข้อบก
พร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป

                3.  เทคนิคในการสอนแบบแก้ปัญหา
การนำวิธีสอนแบบแก้ปัญหาไปใช้ ผู้สอนควรคำนึงถึงข้อต่อไปนี้
  1. ปัญหาที่นำมาให้ผู้เรียนศึกษา ควรเป็นปัญหาที่น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยประสบการณ์ของผู้เรียน และเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน เช่น ปัญหาความไม่สะอาดของห้องเรียน ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเรียน ปัญหาอุบัติเหตุ ฯลฯ
  2. ถ้าผู้เรียนยังไม่เห็นปัญหา ผู้สอนควรใช้เทคนิคชี้นำให้ผู้เรียนคิดและมองเห็นปัญหา เช่น เทคนิคการถามคำถาม การเล่าเรื่อง การยกตัวอย่าง ฯลฯ
  3. ผู้สอนควรเตรียมเนื้อหา แหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการวิเคราหะห์ข้อมูลไว้ล่วงหน้า
  4. ในการสอนต้องให้เวลาและอิสระแก่ผู้เรียนในการศึกษาค้นคว้า การวิเคราะห์และการสรุปผลข้อมูล
  5. ผู้สอนควรควบคุมในการแก้ปัญหาของกลุ่มหรือรายบุคคลดำเนินไปด้วยดี และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกำลังใจในการแก้ปัญหา
4. ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนแบบแก้ปัญหา
  1. ผู้เรียนได้ฝึกวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ฝึกการวิเคราะห์และการตัดสินใจ
  2. ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ
  3. เป็นการฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม และฝึกความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
  4. ประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับจากการฝึกแก้ปัญหา จะมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในชีวิตจริงทั้งในปัจจุบันและอนาคต
  5. ผู้เรียนต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ถ้าผิดไปจะทำให้ได้ผลสรุปที่คลาดเคลื่อนหรือผิดความจริงไป
  6. ผู้เรียนจะต้องมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูล จึงจะสรุปผลได้ดี
  7. ถ้าผู้สอนไม่คุ้นเคยกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อาจนำไปผิดทางได้
  8. การกำหนดปัญหา ถ้าเลือกปัญหาไม่ดีจะทำให้การเรียนการสอนไม่ได้ผลเท่าที่ควร

 


         

         1.4 วิธีสอนตามขั้นที่ 4 ของอริยสัจ (Duddist’s Method)
ขั้นต่างๆของอริยสัจสี่  =  ขั้นต่างๆของวิธีการแก้ปัญหา หรือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์
            ทุกข์              =  กำหนดปัญหา
            สมุทัย           =  การตั้งสมมติฐาน
          นิโรธ             =  การทดลองและเก็บข้อมูล
            มรรค             =  การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุป


เทคนิคการสอนตามหลักการทั้งสี่ของอริยสัจ
เป็นกระบวนการที่ให้ผู้เรียนได้พยายามแสวงหาความรู้ ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยนำเอาลำดับขั้นทั้งสี่ของอริยสัจในศาสนาพุทธมาใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของตนเอง ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค โดยเทคนิควิธีการสอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ของผู้เรียน และเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า เสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 18 ซึ่งระบุไว้ว่า สถานศึกษามีการจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

ความหมายหลักการทั้งสี่ของอริยสัจ
หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่ทำให้เป็นอริยบุคคล (บุคคลที่ประเสริฐ) ซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่ การมีอยู่ของทุกข์ (ทุกข์) สาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) การดับทุกข์ (นิโรธ) และหนทางแห่งการดับทุกข์ (มรรค)
องค์ประกอบหลักการทั้งสี่ของอริยสัจประกอบด้วย
1. ทุกข์ : เป็นความทุกข์ที่มีอยู่จริง เป็นสภาพที่ทนได้ยากหรือสภาพที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสาร และการไม่ให้ความพึงพอใจที่แท้จริง
2. สมุทัย : สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
3. นิโรธ : การดับทุกข์ หรือการเข้าใจความจริงของชีวิต
4. มรรค : วิธีการพ้นทุกข์ หรือวิธีปฏิบัติอันจะนำไปสู่การดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์ 8 (อัฏฐังคิกมรรค) เป็นปฏิปทาสายกลาง
หลักการทั้งสี่ขออริยสัจตามวิธีการวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย
1. การกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) : การพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อกำหนดปัญหาต่าง ๆ ให้เหมาะสม
2. การตั้งสมมติฐาน(ขั้นสมุทัย) : เป็นการคิดหาคำตอบล่วงหน้า ก่อนจะทำการทดลอง โดยต้องอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิม เป็นพื้นฐานคำตอบที่คิดล่วงหน้าซึ่งยังไม่ทราบ
3. การทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) : เป็นการทดลองทำตามการตั้งสมมติฐานที่เราได้ทำการกำหนดไว้
4. การวิเคราะห์ข้อมูล (ขั้นมรรค) : ทำการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นทดลอง เพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งใดคือตัวที่จะทำหน้าที่ในแก้ไขปัญหาที่กำหนดไว้ และแก้ไขปัญหานั้นได้หรือไม่
5. การสรุปผล (ขั้นมรรค) : นำผลที่ได้มาทำการสรุปให้เป็นหลักเกณฑ์ว่าได้แก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใด และผลที่ได้นั้นเป็นเช่นไร
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1. การกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) : ในขั้นนี้ครูจะทำหน้าที่ในการกำหนดและนำเสนอปัญหาอย่างละเอียด พยายามให้นักเรียนทำความเข้าใจปัญหาที่ตรงกัน โดยครูทำการอธิบาย หรือสร้างเหตุการณ์จำลอง อีกทั้งโน้มน้าว เร้าความรู้สึกให้นักเรียนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ครูช่วยนักเรียนพิจารณาดูปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลายและทั่วถึง และเขียนแสดงความคิดเห็นทั้งหมดบนกระดาน และพยายามให้นักเรียนมีส่วนร่วมในห้องเรียนทุกคน โดยครูอาจใช้สื่อที่เหมาะสม ประกอบการนำเสนอปัญหาให้สมจริง และให้นักเรียนทุกคนร่วมมือกันช่วยกันแก้ไขปัญหานั้น ๆ
2. ตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) : ครูใช้คำถามเร้าให้นักเรียนคิดและแสดงความคิดเห็นถึงสาเหตุของปัญหาที่ยกมากล่าวในขั้นต้นว่าปัญหานั้นมีอะไรบ้าง ครูอธิบายเชื่อมโยงเหตุผลให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ เปิดโอกาสและกระตุ้นนักเรียนให้แสดงความคิดเห็น โดยให้นักเรียนเขียนข้อควาเหล่านั้นบนกระดานเป็นข้อ ๆ
3. ทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) : ครูใช้เทคนิคการแบ่งงาน และกระบวนการกลุ่ม และเสนอแนะให้นักเรียนทำการจดบันทึกข้อมูล
4. วิเคราะห์ข้อมูล (ขั้นมรรค) : ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลที่จดบันทึก
5. การสรุปผล (ขั้นมรรค) : เป็นการช่วยกันสรุปความคิดของนักเรียนแต่ละคน นอกจากนี้ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น โดยครูใช้คำถามกระตุ้นให้ข้อมูลย้อนกลับ ทบทวนความสำคัญ สรุป เชื่อมโยงข้อคิดเห็นของนักเรียน และบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ลงบนกระดาน


          1.5 วิธีการสอนแบบทดลอง (The laboratory Method)
                    วิธีการสอนแบบทดลอง มีลักษณะคล้ายกับวิธีการสอนแบวิทยาศาสตร์ แต่มีการปรับปรุงหลักการบางส่วนเพื่อความเหมาะสมกับการเรียนวิชาอื่นๆ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์
                         วิธีการสอนแบบทดลอง แสดงข้อเท็จจริง จากการสืบสวน ค้นคว้าและทดลอง
                         วิธีการสอนแบบนี้ยังต่างจาการสอนแบบสาธิตด้วย เพราะการสอนแบบสาธิตเป็นผู้ทดลองให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง

วัตถุประสงค์  
     วิธีสอนโดยใช้การทดลอง เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนรายบุคคลหรือรายกลุ่มเกิดการเรียนรู้โดยการเห็นผลประจักษ์ชัดจากการคิดและการกระทำของตนเอง ทำให้การเรียนรู้นั้นตรงกับความเป็นจริง มีความหมายสำหรับผู้เรียนและจำได้นาน

องค์ประกอบ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธีสอน
   1. มีปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง
   2. มีวัสดุอุปกรณ์สำหรับการทดลอง  
   3. มีการทดลอง
   4. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการทดลอง

ขั้นตอนสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของการสอน
   1. ผู้สอน/ผู้เรียนกำหนดปัญหาและสมมติฐานในการทดลอง
   2. ผู้สอนให้ความรู้ที่จำเป็นต่อการทดลอง ให้ขั้นตอนและรายละเอียดในการทดลองแก่ผู้เรียน โดยใช้วีการต่างๆ ตามความเหมาะสม                                                                                   
   3. ผู้เรียนลงมือทดลองโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นตามขั้นตอนที่กำหนดและบันทึกข้อมูลการทดลอง       
   4. ผู้เรียนวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
   5. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผลการทดลอง และสรุปการเรียนรู้ 


เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้การทดลองให้มีประสิทธิภาพ
การเตรียมการ
     ผู้สอนจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมาย กำหนดตัวปัญหาที่จะใช้ในการทดลองและกระบวนการหรือขั้นตอนในการดำเนินการทดลองให้ชัดเจน รวมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการทดลองให้พร้อม และลองซ้อมทำการทดลองด้วยตนเอง เพื่อจะได้เรียนรู้ประเด็นปัญหา ข้อขัดข้องหรืออุปสรรคต่างๆ ซึ่งอาจนำมาใช้ในการปรับขั้นตอนการดำเนินการและรายละเอียดต่างๆให้รัดกุมขึ้น ผู้สอนอาจจำเป็นต้องทำเอกสารคู่มือการทดลองให้ผู้เรียน และควรประเด็นคำถามที่จะให้ผู้เรียนหาคำตอบหรือแนวทางที่จะให้ผู้เรียนสังเกตผลการทดลอง นกจากนั้นในบางกรณีที่การทดลองต้องอาศัยพื้นฐานความรู้ที่จำเป็น ซึ่งหากผู้เรียนขาดความรู้ดังกล่าว จะไม่สามารถทำการทดลองได้ จึงควรมีการตรวจสอบความรู้ผู้เรียนก่อนให้ทำการทดลอง โดยผู้สอนจะต้องจัดเตรียมแบบทดสอบไว้ด้วย สำหรับการทดลองที่มีอันตราย เช่น การทดลองทางเคมี ผู้สอนจะต้องตรวจสอบความปลอดภัย รวมทั้งเตรียมการทั้งด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

การนำเสนอเรื่อง/ตัวปัญหาที่จะใช้ในการทดลอง
     ผู้สอนอาจเป็นผู้กำหนดขั้นตอนและรายละเอียดในการทดลองเอง หรืออาจให้ผู้เรียนร่วมกันวางแผนและกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการทดลองก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของสาระ แต่การให้ผู้เรียนร่วมกันดำเนินการนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นอีกและผู้เรียนจะกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะเป็นผู้คิดเอง อย่างไรก็ตาม ครูจำเป็นต้องคอยดูแลให้คำปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

การทดลอง
     การทดลองทำได้หลายแบบ ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนลงมือตามขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ทั้งหมด โดยครูทำหน้าที่สังเกต และให้คำแนะนำหรือให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียน หรือผู้สอนอาจลงมือทำการทดลองเอง ให้ผุ้เรียนสังเกต แล้วทำการทดลองตามไปทีละขั้น หรือผู้สอนอาจลงมือทำการทดลองให้ผู้เรียนดูจนจบกระบวนการ แล้วให้ผู้เรียนไปทำการทดลองด้วยตนเอง ผุ้สอนจะใช้เทคนิคใดนั้นขึ้นกับความเหมาะสมกับลักษณะของการทดลองครั้งนั้น ผู้เรียนจะเรียนด้วยวิธีนี้ได้ดี หากมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็น ผุ้สอนจึงควรฝึกฝนทักษะดังกล่าวให้ผู้เรียน ก่อนให้ผู้เรียนทำการทดลอง หรือไม่ก็ต้องฝึกไปพร้อมๆกัน ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว มี 13 ทักษะ ดังนี้
1. ทักษะการสังเกต    
2. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล              
3. ทักษะการจำแนกประเภท
4. ทักษะการวัด          
5. ทักษะการใช้ตัวเลข
6. ทักษะการสื่อความหมาย
7. ทักษะการพยากรณ์
8. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปส (space) กับเวลา
9. ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร       
10. ทักษะการตั้งสมมติฐาน
11. ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร    
12. ทักษะการทดลอง 
13. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป
     ผู้สอนจะสอนด้วยวิธีนี้ให้ได้ผลดี จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะ 13 ประการดังกล่าว จึงจะสามารถช่วยฝึกฝนผู้เรียนตามปัญหาและความต้องการของผู้เรียนได้

การรวบรวมข้อมูล
     ผู้สอนควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกตการณ์ทดลอง บันทึกข้อมูลการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมทั้งให้ความเอาใจใส่ในกระบวนการทดลอง และกระบวนการทำงานร่วมกันของผู้เรียนด้วย

การวิเคราะห์สรุปผลการทดลอง และสรุปผลการเรียนรู้
ผู้สอนให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนเกี่ยวกับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและการสรุปผล ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมาก นอกจากนั้น ผู้สอนควรให้ผู้เรียนมีการวิเคราะห์อภิปรายเกี่ยวกับกระบวนการในการแสวงหาความรู้ กระบวนการทำงาน และกระบวนการอื่นๆ และสรุปการเรียนรู้ร่วมกันด้วย

ข้อดี และข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้การทดลอง

ข้อดี
1. เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้ผ่านกระบวนการต่างๆ ได้พิสูจน์ ทดสอบ และเห็นผลประจักษ์ด้วยตนเอง จึงเกิดการเรียนรู้ได้ดี มีความเข้าใจ และจะจดจำการเรียนรู้นั้นได้นาน
2. เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ ทักษะกระบวนการคิด และทักษะกระบวนการกลุ่ม ทั้งได้พัฒนานิสัยใฝ่รู้          
3. เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมมาก จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้

ข้อจำกัด
1. เป็นวิธีสอนที่มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ เครื่องมือ วัสดุ สำหรับนักเรียนจำนวนมาก หรือในกรณีที่ต้องออกไปเก็บข้อมูลนอกสถานที่ ก็ต้องมีค่าพาหนะ ที่พัก และวัสดุต่างๆด้วย
2. วิธีสอนที่ใช้เวลามาก เนื่องจากการดำเนินการแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลา
3. เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถสอนและฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี

อ้างอิง
http://www.l3nr.org/posts/398755

          1.6 วิธีการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method)
                     วิธีการสอนแบบอภิปรายเป็นการสอนแบบการเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน โดยมีครูเป็นผู้ประสานงาน ครูไม่ต้องซักถามปัญหานักเรียนแต่ให้นักเรียนซักถามปัญหาและช่วยกันตอบอันเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนฝึกพูดและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตย
วัตถุประสงค์

ความมุ่งหมาย
1.เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เป็นการพัฒนาทักษะใน ด้านการคิด และการพูด
2.เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มด้วย
3.เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อนำมาอธิบายกับเพื่อนๆ และอาจารย์

ขั้นตอนการสอน
1. ขั้นเตรียมอภิปราย ผู้สอนต้องเตรียมในสิ่งต่อไปนี้
1.1 หัวข้อและรูปแบบการอภิปราย  เตรียมให้สอดคล้องเหมะสมกับจุดประสงค์ของบทเรียน เวลาเรียน  จำนวนผู้เรียน  สถานที่ ฯลฯ เช่น ถ้ามีเวลาจำกัด ควรใช้แบบซุบซิบปรึกษา ถ้าต้องการรวบรวมความคิดอาจใช้แบบระดมสมอง ถ้ามีเวลาให้ผู้เรียนได้เตรียมเนื้อหาสาระความรู้มาล่วงหน้า
1.2 ผู้เรียน ผู้สอนควรได้ให้ผู้เรียนเตรียมตัวการอภิปรายมาล่วงหน้าทั้งด้านเนื้อหาสาระ และประเด็นความคิดสำคัญและวิธีการพูด จะทำให้ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนแบบอภิปรายอย่างแท้จริง
1.3 ห้องเรียน ผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย เช่น
– จัดแบบวงกลม หรือครึ่งวงกลม เหมาะสำหรับการอภิปรายแบบระดมสมอง
– จัดแบบรูปตัวยู หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า เหมาะสำหรับการอภิปรายกลุ่มใหญ่
– จัดแบบรูปตัวที หรือแบบเรียงแถวหน้ากระดาน เหมาะสำหรับการอภิปรายหมู่แบบพาเนล
1.4 สื่อการเรียน อาจต้องใช้เอกสารไว้แจกประกอบการอภิปราย อาจมีการใช้สไลด์ภาพ แผนภูมิ แผ่นใส ฯลฯ เพื่อสรุปผลการอภิปราย หรือประกอบการอภิปรายของแต่ละกลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมไว้ให้พร้อม
2. ขั้นดำเนินการอภิปราย ผู้สอนมีบทสำคัญในการควบคุมการอภิปรายให้ดำเนินไปได้ด้วยดี จึงต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
2.1 บอกหัวข้อหรือปัญหาที่จะอภิปรายให้ชัดเจน
2.2 ระบุจุดประสงค์การอภิปรายให้ชัดเจน
2.3 บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่น ระยะเวลาที่ใช้ รูปแบบวิธีการอภิปราย บทบาทหน้าที่ของผู้อภิปราย การรายงานผล ตลอดจนมารยาทในการพูด การรับฟังผู้อื่น และการเคารพมติของส่วนรวม
2.4 ให้ดำเนินการอภิปรายโดยผู้สอนควรช่วยเหลือให้การอภิปรายดำเนินไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้เรียนเข้ากลุ่มอภิปราย ผู้สอนไม่ควรเข้าไปกำกับหรือแทรกแซงผู้เรียนตลอด ควรคอยดูแลอยู่ห่างๆ คอยกระตุ้นให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ เมื่อผู้เรียนต้องการเท่านั้น
3. ขั้นสรุป ประกอบด้วย
3.1 สรุปผลการอภิปราย เป็นช่วงที่ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปราย นำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุมเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามผู้อภิปรายตอบคำถาม ผู้สอนอาจถามคำถามผู้อภิปรายได้ในสาระสำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับ ขณะเดียวกันช่วยกลุ่มอภิบายให้เกิดความกระจ่างในเนื้อหาบางตอนได้
3.2 สรุปบทเรียน ผู้สอนเป็นผู้สรุปเนื้อหาสาระสำคัญที่ได้จากการอภิปราย ควรได้เสริมข้อคิดแทรกความรู้ ย้ำประเด็นสำคัญและสรุปแนวคิดหลักให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนแนวทางการนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิต การสรุปนั้นควรสรุปเป็นหัวข้อบนกระดานดำ เพื่อผู้เรียนจะได้เข้าใจชัดเจนและบันทึกไว้ได้ง่าย
3.3 ประเมินผลการเรียน ผู้สอนควรมีการประเมินผลการอภิปรายภายหลังที่สิ้นสุดบทเรียน เพื่อดูว่าการเรียนการสอนในคาบเรียนนั้นๆ ด้วยวิธีการอภิปรายมีคุณค่าหรือมีข้อบกพร่องอย่างไร โดยประเมินให้ครอบคลุมถึงเนื้อหา หัวข้อการอภิปราย จุดประสงค์ รูปแบบพฤติกรรมของผู้เรียน บรรยากาศ สิ่งแวดล้อมต่างๆ ในการอภิปราย ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนด้วยวิธีการอภิปรายครั้งต่อไป

ข้อดีและข้อจำกัด
1.  ผู้เรียนจำได้นาน เพราะผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ระดับเข้าใจ ซึ่งมากกว่าขั้นรู้ – จำ
2. ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม – ร่วมค้นคว้า ร่วมแสดงความรู้  แสดงความคิด และแสดงประสบการณ์
3. ผู้เรียนได้ฝึกใช้วิจารณญาณในการพูด, การคิด และวิเคราะห์วิจารณ์ คำพูดของตนเอง และผู้อื่นอย่างมีเหตุผล
4. ทำให้ผู้เรียนมีโลกทัศน์ในมุมกว้าง ยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายมากขึ้น
5.  ครูสามารถวัด และประเมินผลการเรียนรู้ได้จากการสังเกต
6.  สร้างความรู้จัก – สามัคคี ในกลุ่มผู้ร่วมอภิปราย
7.   เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ไม่น่าเบื่อ และเร้าความสนใจของผู้เรียนได้ง่าย, ทั่วถึงตลอดเวลา

          1.7 วิธีการสอนแบบจุลภาค (Micro-Teaching)
               วิธีการสอนแบบจุลภาค เป็นนวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation)เป็นประสบการณ์ที่ย่อส่วนลงมาอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างรัดกุม โดยสอนในห้องเรียนแบบง่ายๆ กับนักเรียน 5-6 คน ใช้เวลา 5-15นาที เปิดโอกาสให้ครูได้ฝึกทักษะการสอนแบบใหม่ๆ ขณะการสอนมีการบันทึกภาพ เพื่อให้ครูได้ดูการสอนของตนเอง เพื่อปรับปรุงทักษะให้ดีขึ้นก่อนนำไปใช้จริงในชั้นเรียน การสอนแบบวิธีนี้จึงเป็นการสอนแบบย่นย่อทั้งเวลา ขนาดของชิ้นงานและทักษะ


ความสำคัญ
            การฝึกหัดสอนในสถานการณ์จริงๆ ที่มีทั้งครูและนักเรียน โดยผู้สอนมีจุดมุ่งหมายเฉพาะที่จะฝึกฝนทักษะในการสอน เพียงทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น  การสอนแบบจุลภาคเหมาะที่จะใช้ฝึกสำหรับนักเรียนฝึกหัดครู ครูใหม่หรือครูเก่าให้มีโอกาสฝึกทักษะในการสอนโดยใช้บทเรียนสั้นๆ ที่ใช้เวลาเพียง    - ๑๐ นาที  เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในการสอน ความสบายใจ เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ   ตลอดจน เพิ่มพูนประสิทธิภาพในการสอนให้กับครูที่ฝึก ซึ่งเมื่อได้ออกไปทำการสอนจริงๆ ในชีวิตการเป็นครู จะสอนได้ดีและเป็นครูชั้นอาชีพจริงๆ

แนวปฏิบัติในการสอนแบบจุลภาค

.  จัดให้มีการอธิบายเกี่ยวกับทักษะ ตลอดจนวิธีใช้ทักษะให้ผู้สอนมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
.  ให้ผู้สอนได้เห็นตัวอย่างการสอน ทักษะต่างๆ และฝึกการมองประเด็นสำคัญของแต่ละทักษะ
.  เตรียมบทเรียนที่จะสอน โดยอาศัยจากบทเรียนหรือจะใช้สถานการณ์จำลอง เพื่อสร้างสภาพการณ์จำลองให้ผู้สอนเลือกหาวิธีสอนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการสอน
.  ผู้สอนทำการสอนแต่ละทักษะตามหลักการดังต่อไปนี้
     .  ฝึกสอนแต่ละทักษะ ประมาณ ๕ - ๑๐ นาที
     .  ผู้สอนดูภาพหรือฟังเทปบันทึกการสอน พร้อมกับนักเรียนและอาจารย์นิเทศ
     .  สรุปการสอนของตนและรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อหาลู่ทางปรับปรุงการสอนอีกครั้ง
     .  ใช้เวลาประมาณ ๑๕ - ๒๐ นาที เพื่อปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะเพื่อเตรียมสอนซ้ำอีกครั้ง
     .  สอนซ้ำในทักษะเดียวกันตามข้อเสนอแนะ
     .  ดูภาพและหรือฟังเทปบันทึกการสอนของตนร่วมกับนักเรียน อาจารย์นิเทศและร่วมกันอภิปราย สรุปการสอน
                 
วิธีการฝึกสอนแบบจุลภาค
   1.  ศึกษาทักษะการสอน
   2.  ทดลองลองสอนและบันทึกเทปโทรทัศน์
   3.  เรียนรู้ผลการสอนของตนและวิจารณ์
   4.  สอนซ้ำแก่นักเรียนกลุ่มใหม่

หลักของการประเมินผล
            การประเมินผลต้องควรคำนึงถึงหลักสำคัญดังต่อไปนี้
          1. การประเมินผลต้องตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้
          2. การประเมินผลต้องวางแผนร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน ตลอดจนการจัดโปรแกรมต่างๆ
          3. การประเมินผลควรจะเป็นการประเมินผลร่วม เนื่องจากผู้เรียนและผู้สอนต้องมีส่วนร่วมในการวางจุดประสงค์ เพราะฉะนั้นทั้งผู้เรียนและผู้สอนควรจะประเมินผลร่วมกัน
          4. การประเมินผลควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสม การที่จะใช้เครื่องมือชนิดใดเช่นข้อสอบแบบข้อเขียน ข้อสอบภาคปฏิบัติหรือการสังเกตเป็นต้น ย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่จะประเมิน
          5. การประเมินผลต้องดำเนินการอย่างยุติธรรมและเชื่อถือได้


          1.8 วิธีสอนแบบโครงการ
                    เป็นการสอนที่ให้นักเรียนเป็นหมู่ หรือ รายบุคคล ได้วางโครงการและดำเนินงานให้สำเร็จตามโครงการนั้น เป็นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริงนักเรียนเริ่มต้น การทำโครงการด้วยการตั้งปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาลงมือปฏิบัติจริง เช่น โครงการแก้ปัญหาความสกปรก ของโรงเรียนเป็นตั้น
การสอนแบบโครงการ (Project Approach) เป็นการศึกษาอย่างลงลึกในหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่ง โดยเด็กเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือทั้งชั้นเรียน เป็นวิธีสอนที่เหมาะสำหรับเด็กทั้งในระยะปฐมวัยจนกระทั่งชั้นประถมศึกษา

        การสอนแบบโครงการเป็นวิธีที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีความยืดหยุ่น ครูที่ใช้การสอนแบบนี้ได้อย่างเหมาะสม เด็กจะมีแรงจูงใจ และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น ทั้งนี้ โครงสร้างของการสอนแบบโครงการมีดังต่อไปนี้
          1. การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงการ ครูสามารถแนะนำการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ช่วยให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำกับเพื่อน การที่เด็กได้สนทนาร่วมกันทั้งเป็นกลุ่มย่อยและทั้งชั้นเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่เด็กสนใจ ทำให้เด็กมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
        เด็กปฐมวัยจะเรียนรู้ได้ดีหากได้สนทนาร่วมกับเพื่อนและครูเป็นกลุ่มย่อย ในบริบทที่เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการสำรวจจริงๆ ครูสามารถแนะนำสิ่งต่างๆ ที่ช่วยให้เด็กคิดและสร้างความรู้ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เด็กแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนในกลุ่มใหญ่ด้วย

          2. การทำงานภาคสนาม (Field Work)
 การทำงานภาคสนามในที่นี้ครูควรคิดถึงประสบการณ์ตรงที่เด็กจะได้รับจากการไปศึกษานอกสถานที่ ซึ่งจะแตกต่างจากการพาเด็กไปทัศนศึกษา การทำงานภาคสนามของเด็กไม่จำเป็นต้องพาเด็กไปนอกสถานที่เสมอไป อาจเป็นการสำรวจสิ่งปลูกสร้าง หรือสนามของโรงเรียน การสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ในโรงเรียน การวัด การทำแผนที่ ฯลฯ

หากต้องการให้เด็กมีประสบการณ์ภาคสนามนอกโรงเรียนอาจเลือกพาเด็กไปสำรวจบริเวณใกล้ๆ โรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนน ป้ายต่างๆ บ้าน สนาม อาคาร โบราณสถาน สถานีขนส่ง ฯลฯ ทั้งนี้อาจจัดให้เด็กได้พูดคุยกับบุคคลซึ่งเป็นภูมิปัญญาในเรื่องนั้น ได้สังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ใช้บริการสาธารณะ ฯลฯ
        การทำงานภาคสนามจะช่วยให้เด็กสร้างความรู้ใหม่จากประสบการณ์ตรง และเกิดการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เด็กเรียนรู้ในห้องเรียน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น และช่วยให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิในการตอบปัญหาต่างๆ ด้วย

        3. การนำเสนอประสบการณ์ (Representation) การนำเสนอประสบการณ์ช่วยให้เด็กได้ทบทวนและจัดระบบประสบการณ์ของตน สิ่งที่นำเสนออาจมาจากการอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจศึกษา การกำหนดคำถามที่จะนำไปสู่การสืบค้น การแสดงสิ่งที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ เด็กๆ สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การวาดภาพ การเขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ การสร้างแบบจำลองต่างๆ ฯลฯ
        เด็กจะมีโอกาสทบทวนข้อมูลที่รวบรวมจากการทำงานภาคสนาม เลือกวิธีการนำเสนอที่ทำให้เพื่อน ครู หรือพ่อแม่เข้าใจ เป็นโอกาสที่เด็กจะได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง

        4. การสืบค้น (Investigation) การสืบค้นในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงการสามารถใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายตามเรื่องที่เด็กสนใจ เพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ เด็กๆ อาจใช้วิธีการสัมภาษณ์พ่อแม่ บุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นๆ ในขณะที่ไปทำงานภาคสนาม สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ที่ครูเชิญมาที่ห้องเรียน สังเกตและสำรวจวัตถุสิ่งของ วาดภาพโครงร่าง ใช้แว่นขยายส่องดูใกล้ๆ สัมผัสพื้นผิวต่างๆ และอาจเป็นการค้นหาคำตอบจากหนังสือในห้องเรียนหรือห้องสมุดก็ได้เช่นกัน

        5. การจัดแสดง (Display) ผลงานของเด็กทั้งที่เป็นงานรายบุคคล หรืองานกลุ่มซึ่งสามารถนำมาจัดแสดงไว้ตลอดทุกระยะของการดำเนินการตามโครงการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดหรือความรู้ให้เด็กทั้งชั้นเรียนได้เรียนรู้ การจัดแสดงช่วยให้เด็กและครูมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของโครงการให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนรับรู้ด้วย
        โครงสร้างดังกล่าวข้างต้นทั้งการอภิปรายกลุ่ม การทำงานภาคสนาม การนำเสนอประสบการณ์ การสืบค้น และการจัดแสดงจะอยู่ในระยะต่างๆ ของโครงการซึ่งมี 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 ทบทวนความรู้เดิมและความสนใจของเด็ก
ระยะที่ 2 ให้เด็กมีประสบการณ์ใหม่ และมีโอกาสสืบค้นเพื่อหาคำตอบ
ระยะที่ 3 ประเมิน สะท้อนความคิด และแลกเปลี่ยนงานโครงการ



ระยะของโครงการ

กระบวนการ
ระยะที่ 1
ระยะที่ 2
ระยะที่ 3
การอภิปรายกลุ่ม
-แลกเปลี่ยนประสบการณ์
 เดิมและความรู้ (ขณะ
 ปัจจุบัน) เกี่ยวกับหัวเรื่อง
-การเตรียมการสำหรับงาน
 ภาคสนามและการสัมภาษณ์
-การทบทวนประสบการณ์
 จากงานภาคสนาม
-การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้
 ทุติยภูมิ
-การเตรียมการเพื่อการ
 แลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับ
 โครงการ
-การทบทวนและประเมิน
 โครงการ
การทำงานภาคสนาม
-เด็กๆ พูดคุยกับพ่อแม่
 เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม
-การออกไปนอกชั้นเรียน
 เพื่อสำรวจ (ภาคสนาม)
-การสัมภาษณ์ผู้รู้ในสนาม
 หรือในห้องเรียน
-การประเมินโครงการผ่าน
 สายตาของของผู้อื่น
การนำเสนอ
-การวาดภาพ การเขียน
 การสร้าง การเล่นสมมุติ
 ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยน
 ประสบการณ์และความรู้
-การเขียนภาพโครงร่าง หรือ
 การบันทึกจากงาน
 ภาคสนาม
-การวาด ระบาย เขียน ทำ
 แผนภูมิ แผนที่ ฯลฯ เพื่อ
 นำเสนอสิ่งที่ได้เรียนรู้
-การกลั่นกรองและสรุป
 เรื่องราวที่ได้เรียนรู้เพื่อ
 แลกเปลี่ยนกับผู้อื่น
การสืบค้น
-การตั้งคำถามจากความรู้เดิม
-การตอบคำถามที่ตั้งไว้ใน
 ระยะแรก
-การค้นคว้าจากภาคสนาม
 หรือห้องสมุด
-การตั้งคำถามเพิ่มเติม
-การตั้งคำถามใหม่
การจัดแสดง
-การแลกเปลี่ยนสิ่งที่
 นำเสนอประสบการณ์เดิม
 เป็นรายบุคคล
-การแลกเปลี่ยนสิ่งที่
 นำเสนอจากประสบการณ์
 หรือความรู้ใหม่
-การบันทึกความก้าวหน้า
 ของโครงการ
-การสรุปการเรียนรู้ตลอดทั้ง
 โครงการ

ตัวอย่างแผนภูมิ และแผนภาพเพื่อการนำเสนอประสบการณ์









1.9 วิธีการสอนแบบหน่วย
       เป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กันโดยไม่กำหนดขอบเขตของรายวิชา จะยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า หน่วยโดยไม่ยึดขอบเขตรายวิชา แต่ถือเอาความมุ่งหมายของหน่วยเป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้เรียน การสอนเป็นหน่วยนั้นบางหน่วยจะสอนเป็นเวลาหลายเดือน บางหน่วยสอนจนจบในสองสามวัน แล้วแต่ความเล็กใหญ่ของหน่วย
   
ชนิดของหน่วย
1.หน่วยเนื้อหาวิชา เป็นหน่วยที่มุ่งเอาเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ครูเป็นผู้นำในการเลือกหน่วยวางแผน และการทำงาน2. หน่วยประสบการณ์  มุ่งเอาประสบการณ์ของเด็กเป็นหลัก ยึดความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ เด็กและครูร่วมมือกันเลือกหน่วยและวางแผนงาน
3.หน่วยกิจกรรม มุ่งกิจกรรมเป็นหลัก กิจกรรมนั้นต้องสนองความสนใจ ความต้องการและความสามารถของเด็ก เด็กมีส่วนร่วมในการเลือกหน่วยด้วย
4.หน่วยวิทยากร คือ หน่วยรวบรวมปัญหา ตลอดจนกิจกรรมและประสบการณ์
            ขั้นการสอน
ขั้นที่ การสอนเพื่อเร้าความสนใจ และมองเห็นปัญหา ครูเร้าความสนใจเด็ก โดยการสนทนา การอภิปราย หรือจัดกิจกรรมอื่นๆ
ขั้นที่ นักเรียนและครูร่วมกันวางแผนงาน
ก.     การวางแผนงานส่วนใหญ่ คือการแบ่งแยกปัญหาใหญ่เป็นปัญหาย่อย
ข.     การวางแผนงานโดยละเอียด ปัญหาย่อยทุกๆปัญหาจัดให้มีกิจกรรมให้เหมาะกับเนื้อหาวิชา
ค.     การจัดแบ่งนักเรียนออกเป็นหมู่ และรับเอาปัญหาย่อยไปช่วยกันแก้
ขั้นที่ นักเรียนลงมือทำงานตามแผนงานในขั้นที่ เช่น ค้นคว้า สำรวจ ศึกษานอกสถานที่ สัมภาษณ์ ฯลฯ
ขั้นที่ การรายงานผลงานต่อชั้น แต่ละหมู่รายงานผลที่ได้ปฏิบัติต่อชั้นครูต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา นักเรียนอาจจะมีการซักถาม โต้ตอบกันเอง


ขั้นที่ การวัดผลเป็นการตรวจสอบดูว่า การเรียนของนักเรียนได้ผลเพียงใด การวัดผลหลายๆด้าน เช่น ความรู้ความเข้าใจ ทักษะในการแก้ปัญหา ทัศนคติ ความคิดริเริ่ม การฝึกประชาธิปไตย ฯลฯ
             http://www.neric-club.com/data.php?page=4&menu_id=76  ได้รวบรวมวิธีการสอนแบบหน่วยไว้ว่า วิธีสอนแบบหน่วย (Unit Teaching Method) เป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กัน โดยไม่กำหนดขอบเขตของวิชา แต่ยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า “หน่วย” นักเรียนอาจเรียนหลายๆวิชาพร้อมๆกันไปตามความต้องการและความสามารถของนักเรียน
 ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบหน่วย
1. เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติการศึกษาค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหาด้วยตนเอง
2. เพื่อส่งเสริมการทำงานที่เป็นประชาธิปไตย ได้แก่ นักเรียนร่วมกันปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการปฏิบัติงานและแก้ปัญหาร่วมกัน
 ขั้นตอนของวิธีการสอนแบบหน่วย
            1.ขั้นนำเข้าสู่หน่วย ขั้นตอนนี้ครูเป็นผู้เร้าความสนใจของนักเรียนด้วยการนำหนังสือที่น่าสนใจหรือสนทนาพูดคุยหรือเล่าเรื่องหรืออภิปรายหรือพาไปทัศนศึกษา หรือชมนิทรรศการ หรือชมภาพยนตร์ หรือชมวีดีทัศน์ ฯลฯ
            2.ขั้นนักเรียนและครูวางแผนร่วมกันในการปฏิบัติกิจกรรม เริ่มด้วยการกำหนดความมุ่งหมายทั่วไป ความมุ่งหมายเฉพาะ ช่วยกันตั้งปัญหาและแบ่งหัวข้อปัญหา กำหนดกิจกรรมของแต่ละปัญหากำหนดสื่อการสอนที่จะนำไปใช้แก้ปัญหา แล้วจัดแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อยเพื่อทำกิจกรรม และรายงานผลการปฏิบัติงาน
            3.ขั้นลงมือทำงาน เริ่มต้นด้วยการสำรวจและรวบรวมความรู้ต่างๆจากห้องสมุดพิพิธภัณฑ์ได้แก่ หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร เอกสาร แบบเรียน ตำรา ร้านค้า ภาพยนตร์ ความสัมพันธ์กับวิชาต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลป์ ฯลฯ
            4.ขั้นเสนอกิจกรรม ได้แก่ การเสนอกิจกรรมด้วยการรายงานผลการปฏิบัติงานโดยวาจาหรือรายงานผลเป็นข้อเขียน การอภิปราย การแสดงละคร การจัดนิทรรศการ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการเสนอกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์แบบอื่นๆ
            5.ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอน และจุดประสงค์ของหน่วยโดยพิจารณาความรู้เชิงวิชาการ เจตคติ และความสนใจต่างๆ รวมทั้งคุณสมบัติส่วนตัว เช่น คุณสมบัติด้านการเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย การแสดงความคิดเห็นต่อกลุ่ม และยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่ม

ข้อดีของวิธีสอนแบบหน่วย
1. เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมความถนัดตามธรรมชาติของนักเรียน เพราะการสอนแบบนี้มีกิจกรรมหลายประเภทให้นักเรียนได้เลือกปฏิบัติทำตามที่ถนัดและสนใจ
2. นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนร่วมกับครู
3. นักเรียนได้รับการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย และได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม
4. เป็นการสอนที่สร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างวิชาต่างๆในหลักสูตร

ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบหน่วย
1. วิธีสอนแบบนี้ต้องใช้เวลามาก

2. ครูผู้สอน ต้องมีแหล่งความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างเพียงพอ และหลากหลาย


สรุป
            วิธีการสอนแบบหน่วย เป็นการสอนที่นำเนื้อหาหลายๆวิชามาสัมพันธ์กันเป็นเรื่องเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อนักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหาด้วยตนเอง และส่งเสริมการทำงานที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งวิธีการสอนแบบหน่วยจะมี ชนิดคือ หน่วยเนื้อหาวิชา หน่วยประสบการณ์  หน่วยกิจกรรม และหน่วยวิทยากร มีขั้นตอนในการสอนดังนี้ ขั้นนำเข้าสู่หน่วย  ขั้นนักเรียน ครูวางแผนร่วมกันในการปฏิบัติกิจกรรม  ขั้นลงมือทำงาน ขั้นเสนอกิจกรรม   และขั้นประเมินผล

ที่มา
ดวงเดือน เทศวานิช.(2529).หลักการสอนและการเตรียมประสบการณ์วิชาชีพภาคปฏิบัติ.
            กรุงเทพฯ
:คณะวิชาครุศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนคร.
สุชา จันทน์เอม
.(2521).จิตวิทยาในห้องเรียน.กรุงเทพฯ:พีระพัธนา.
http://www.neric-club.com/data.php?page=4&menu_id=76.  วิธีการสอนแบบหน่วย.เข้าถึงเมื่อ 
            12 กรกฎาคม 2558.

1.10 วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน( Learning Center )
เป็นการเรียนรู้จากการประกอกบกิจกรรมของนักเรียนโดยแบ่งบทเรียนออกเป็น 4-6 กลุ่ม แต่ละศูนย์ประกอบกิจกรรมแตกต่างกันออกไปตามที่กำหนดไว้ในชุดการสอน แต่ละกลุ่มจะมีสื่อการเรียนการสอนที่จัดไว้ในกล่องวางบนโต๊ะเป็นศูนย์กิจกรรม แต่ละกลุ่มหมุนเวียนประกอบกิจกรรมตามศูนย์ต่างๆ แห่งละ 15-20 นาที จนครบทุกศูนย์
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนแบ่งออกเป็น
4 ขั้นตอนดังนี้
1.   ขั้นเตรียมการ      เตรียมผู้สอน ก่อนจะทำการสอนทุกครั้งผู้สอนจะต้องศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ในคู่มือการสอน เริ่มตั้งแต่จุดประสงค์การเรียนรู้ การนำเข้าสู่บทเรียน การแบ่งกลุ่มผู้เรียน ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละศูนย์ /กลุ่ม / ฐานการเรียนรู้ เนื้อหาวิชาที่จะสอน วิธีการใช้สื่อต่าง ๆ ประกอบการสอน วิธีการวัดประเมินผล จนถึงการสรุปบทเรียน
เตรียมวัสดุอุปกรณ์  ผู้สอนต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละศูนย์ / กลุ่ม /ฐานการเรียนรู้ว่ามีจำนวนเพียงพอและอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีหรือไม่ เช่น ใบงาน เอกสารเนื้อหาสาระ (Fact sheets ) บัตรกิจกรรม อุปกรณ์การฝึกทดลองประเภทต่าง ๆ แบบประเมินผล เป็นต้น
เตรียมสถานที่  สร้างสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย อบอุ่น สะอาด บรรยากาศดีเพื่อให้ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนรู้เป็นลำดับแรก หลังจากนั้นจัดเตรียมโต๊ะ เก้าอี้ เป็นลักษณะกลุ่มย่อยตามเนื้อหาที่จะสอน ให้เพียงพอกับจำนวนคนและกิจกรรมที่จะต้องทำ เช่น จัดโต๊ะเป็นกลุ่ม ๆ ละ 8 คน
แต่ละกลุ่มวางป้ายชื่อเรื่องที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้ให้ชัดเจน
 2.    ขั้นสอน
สร้างกติกาการเรียนรู้ร่วมกัน ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนและสร้างกติกาหรือข้อตกลงร่วมกัน เช่น การรักษาเวลาในการเรียนรู้แต่ละศูนย์ การทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบในการทำกิจกรรม เป็นต้น
ทดสอบก่อนเรียน  พร้อมบอกผลการสอบเพื่อให้ทุกคนทราบความรู้พื้นฐานของตนเอง
นำเข้าสู่บทเรียน   ผู้สอนใช้กิจกรรมหรือวิธีการที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระและเหมาะสมกับผู้เรียน ต่อจากนั้นอาจอธิบายเนื้อหาสาระและวิธีการที่จะเรียนพอสังเขป
แบ่งกลุ่มผู้เรียน    ผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียนตามจำนวนศูนย์ /กลุ่ม / ฐานการเรียนรู้  และควรแบ่งแบบคละกันตามความสามารถ ความสนใจ เพศ วัย เพื่อให้แต่ละกลุ่มร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
ดำเนินกิจกรรม   ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ครบในทุกศูนย์ /กลุ่ม / ฐานการเรียนรู้กำหนด
3.   ขั้นสรุปบทเรียน
หลังจากที่ผู้เรียนหมุนเวียนกันทำกิจกรรมครบศูนย์ / กลุ่ม / ฐานการเรียนรู้แล้ว ผู้สอนตั้งคำถามให้ผู้เรียนสะท้อนความรู้สึกและบทเรียนที่ได้รับ  ผู้สอนทำหน้าที่สรุปบทเรียนทั้งหมดร่วมกับผู้เรียน
4.   ขั้นประเมินผล

เมื่อสรุปบทเรียนแล้วให้ผู้เรียนทำการทดสอบหลังเรียน พร้อมทั้งแจ้งผลการทดสอบให้ทุกคนทราบพัฒนาการของตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับผลการทดสอบก่อนเรียน
1.11 วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม
สื่อการเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆกรอบ แต่ละกรอบจะมีเนื้อหาเฉพาะแบบฝึกที่ให้ทำพร้อมเฉลยคำตอบ
1. ความหมาย 

คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยให้ผู้เรียนศึกษาจากบทเรียนสำเร็จรูปด้วยตนเอง (เนื้อหาถูกแบ่งออกเป็นหน่วยย่อย เพื่อให้ง่ายแก่การเรียนรู้ และผู้เรียนสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เรียน ตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองได้ (Immediate Feedback) ว่าผิดหรือถูก ผู้เรียนสามารถใช้เวลาในการเรียนรู้มากน้อยตามความสามารถ และสามารถตรวจสอบผลการเรียนรู้ของได้ด้วยตนเอง
2. วัตถุประสงค์
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนรายบุคคลได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถ ความต้องการและความสนใจของตนเอง
3. องค์ประกอบที่สำคัญ
3.1 บทเรียนแบบโปรแกรม
3.2 ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากบทเรียนแบบโปรแกรม
4. ขั้นตอนการสอน
4.1 ผู้สอนศึกษาปัญหา ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
4.2 ผู้สอนเลือก แสวงหา หรือสร้างบทเรียนแบบโปรแกรมในเรื่องที่ตรงกับปัญหาความต้องการหรือความสนใจของผู้เรียน
4.3 ผู้สอนแนะนำการใช้บทเรียนแบบโปรแกรมให้ผู้เรียนเข้าใจ
4.4 ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาบทเรียนด้วยตนเอง
4.5 ผู้เรียนทดสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือมารับการทดสอบจากผู้สอน
5. เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม
5.1 การเตรียมการ
- ผู้สอนศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้เรียนรายบุคคล
- บทเรียนแบบโปรแกรมมี 2 ลักษณะ คือ สอนเนื้อหาสาระใดสาระหนึ่ง โดยผู้เรียนๆ ด้วยตนเอง และการสอนซ่อมเสริมการเรียนตามปกติ 
- บทเรียนแบบโปรแกรมจะนำเสนอเนื้อหาทีละน้อย ในรูปของเฟรม (Frame) หลังจากนำเสนอเนื้อหาแล้ว จะมีคำถามทดสอบความรู้ของผู้เรียน 
- บทเรียนแบบโปรแกรมมี 3 ลักษณะ คือ
บทเรียนแบบเส้นตรง (Linear Program) คือ บทเรียนที่นำเสนอเนื้อหาไปตามลำดับ ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาตามลำดับที่ให้ไว้
บทเรียนแบบสาขา (Branching Program) คือ บทเรียนที่การตอบสนองของผู้เรียนจะมีผลต่อการศึกษาบทเรียนของผู้เรียนแต่ละคน เช่น การเลือกตอบคำถาม ก ข ค ง... ที่แตกต่างกัน ซึ่งบางข้อถูก บางข้อผิด จะส่งผลให้ผู้เรียนต้องศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมแตกต่างกันด้วย ลำดับการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน



บทเรียนแบบไม่แยกกรอบ เหมือนบทเรียนแบบเส้นตรง แต่ไม่นำเสนอเนื้อหาในรูปของกรอบ แต่จะนำเสนอเนื้อหาเป็นความเรียงต่อกันไปเรื่อยๆ 
- การสร้างบทเรียนฯ ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์เนื้อหาที่จะสอนและนำเนื้อหาสาระมาแตกย่อยเรียงลำดับให้เหมาะสม เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้ จากนั้นจึงนำเสนอเนื้อหาทีละน้อย มีข้อคำถามท้าทายความคิดและมีเฉลย จากนั้น นำบทเรียนไปทดลองใช้ และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
5.2 การดำเนินการ
ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จากนั้น ชี้แจงวิธีการเรียนจากบทเรียน และจึงให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง
5.3 การประเมินผล 
ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน และผู้สอนให้คะแนน
6. ข้อดี ข้อจำกัด
6.1 ข้อดี 
- ส่งเสริมให้ศึกษาด้วยตนเอง
- ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามความสามารถของตนเอง ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ลดภาระครู แก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู
6.2 ข้อจำกัด 
- ต้องมีบทเรียนที่มีคุณภาพเพียงพอ 
- บทเรียนที่มีคุณภาพต้องใช้เวลาในการผลิต ผู้สร้างต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหา และการสร้างบทเรียน
- บทเรียนแบบโปรแกรมที่มีคุณภาพไม่ดีพอจะไม่น่าสนใจและไม่สามารถถึงดูดความสนใจของผู้เรียน ทำให้ผ้เรียนเบื่อหน่ายได้ 
  

1.12 บทเรียนโมดูล(Instructional Module)
เป็นบทเรียนหน่วยหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของบทเรียนที่สร้างขึ้น บทเรียนโมดูลจะประกอบด้วย องค์ประกอบสำคัญ คือ องค์ประกอบของบทเรียนโมดูล
1.    หลักการและเหตุผล
2.    จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
3.    การประเมินผลก่อนเรียน
4.    กิจกรรมการเรียน
5.    การประเมินผลหลังเรียน



คุณสมบัติที่สำคัญของบทเรียนโมดูล            1. โปรแกรมทั้งหมดถูกขยายเป็นส่วน ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสามารถมองเห็นโครงร่างทั้งหมดของโปรแกรม
            2. ยึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดระบบการเรียนการสอน
            3. มีจุดประสงค์ในการเรียนที่ชัดเจน
            4. เน้นการเรียนด้วยตนเอง
            5. ใช้วิธีการสอนแบบต่าง ๆ ไว้หลายอย่าง
            6. เน้นการนำเอาวิธีระบบ (System Approach) เข้ามาใช้ในการสร้าง
องค์ประกอบของบทเรียนโมดูล
            1. หลักการและเหตุผล (Prospectus) 
            2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
            3. การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-Assessment)
            4. กิจกรรมการเรียน (Enabling Activities)
            5. การประเมินผลหลังเรียน (Post-Assessment) 


แบบแผนของบทเรียนโมดูล
ชื่อเรื่อง (A Title Page)
ขั้นตอนของกระบวนการเรียน (The Body of the Description)
มีลำดับขั้น ดังนี้

            1. หลักการและเหตุผล
            2. จุดประสงค์
            3. ความรู้พื้นฐาน
            4. การประเมินผลก่อนเรียน
            5. กิจกรรมการเรียน
            6. การประเมินผลหลังเรียน
            7. การเรียนซ่อมเสริม
            8. ภาคผนวก (Appendix)
ขั้นตอนในการสร้างบทเรียนโมดูล
            1. การวางแผน
            2. การสร้าง
            3. การทดสอบต้นแบบ
            4. ประเมินผลบทเรียน 

ประโยชน์ของบทเรียนโมดูล

            เป็นบทเรียนสำเร็จรูป เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่มีระเบียบแบบแผนและรวมการสอนหลาย ๆ อย่างเอาไว้ด้วยกันช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบถึงความสามารถและความก้าวหน้าของตนทุกระยะ ช่วยลดภาระของครูในการสอนข้อเท็จจริงต่าง ๆ

https://www.gotoknow.org/posts/388980

1.13 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction)
คือสื่อการสอนที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่นำมาประยุกต์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนคอมพิวเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กัน หลักการของระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกแนวคิดมุ่งที่จะให้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นสื่อสนับสนุนกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเพื่อเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Tutorial) แบบจำลองสถานการณ์ (Simulations) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving)
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ตามวัตถุประสงค์ของการสอน ได้แก่
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน


1.14 การสอนช่วยซ่อมเสริม
การจัดการเรียนเพิ่งแก่นักเรียนที่มีระดับสติปัญญาต่ำ เรียนไม่ทันเพื่อน ขาดความคิดรวบยอดหรือจัดการเรียนเพิ่มแก่นักเรียนที่เก่งฉลาดเพื่อได้รับความรู้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่การซ่อมเสริมมักจัดให้เด็กที่มีผลการเรียนต่ำ เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจเรียน



 การสอนซ่อม   เป็นการสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง  การสอนซ่อมและการวินิจฉัยเป็นของ คู่กัน กล่าวคือ การวินิจฉัยที่มีคุณค่าจะต้องติดตามด้วยการสอนซ่อม เช่นเดียวกับการสอนซ่อมที่มีคุณค่าจะต้องเป็นการสอนซ่อมที่ดำเนินการต่อจากการวินิจฉัย  การสอนซ่อมใดที่ดำเนินไปโดยปราศจากการวินิจฉัย กล่าวคือ สอนไปโดยไม่ทราบข้อบกพร่องของนักเรียนการสอนซ่อมนั้นย่อมไร้จุดหมายที่แน่นอน จึงไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนเท่าที่ควร
           ครูพึงระลึกอยู่เสมอว่ามีวิธีการต่างๆอย่างหลากหลายวิธีที่ครูสามารถเลือกมาจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อขจัดข้อบกพร่องของเด็กได้ ดังจะเสนอแนะไว้เป็นแนวทางบางประการดังนี้ (Ashlock ๑๙๘๒ : ๑๔ – ๑๗)
๑.     กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักการประเมินตนเอง ด้วยการมีส่วนร่วมในกระบวนการวัดและประเมินผล เพื่อหาข้อบกพร่องในการเรียนของตนเอง
๒.    คำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียนในแง่ของการมีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจ ความคิดรวบยอดย่อย  ก่อนที่จะเรียนรู้ความคิดรวบยอดใหม่ซึ่งซับซ้อนกว่าเดิม
๓.    คำนึงถึงความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อตนเอง คือ ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่าตนเองยังเป็นคนมีคุณค่าละสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองได้
๔.    การสอนซ่อมควรพยายามให้เป็นการสอนรายบุคคลให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้งครูจำเป็นต้องสอนซ่อมเป็นกลุ่ม ผู้เรียนแต่ละคนก็ต้องได้รับการดูแลแก้ไขเป็นรายบุคคลด้วย
๕.    สร้างโปรแกรมการสอนซ่อมบนรากฐานของการวินิจฉัยการเรียน
๖.     วางแผนการสอนซ่อมอย่างเป็นลำดับขั้น พยายามให้ง่าย ไม่ซับซ้อน
๗.    พยายามเลือกวิธีสอนที่แตกต่างไปจากวิธีสอนเดิมที่เคยเรียนไปแล้ว เพราะผู้เรียนมักมีความกังวล หรือเกิดความรู้สึกกลัวต่อวิธีการเดิม ซึ่งทำให้ตนไม่ประสบผลสำเร็จมาแล้ว
๘.    ใช้กิจกรรมการเรียนการสอนที่มีความหลากหลาย เพื่อให้ประสบการณ์ที่กว้างขวางแก่ผู้เรียน ซึ่งประสบการณ์ที่หลากหลายเหล่านี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพความรู้ ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
๙.    สนับสนุนให้ผู้เรียนได้จัดกระทำกับวัตถุให้มากที่สุดเท่าที่ตนเองเห็นว่าจะช่วยให้เข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นการเสียเวลา
๑๐.            เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกถึงความเข้าใจด้วยภาษาของตนเอง
๑๑.            เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกทำกิจกรรมตามความสนใจจากกิจกรรมที่ครูเตรียมไว้ให้ โดยที่กิจกรรมเหล่านั้นจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน
๑๒.จัดประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความคิดด้วยความรอบคอบ โดยเริ่มจาก ประสบการณ์รูปธรรมไปสู่ประสบการณ์กึ่งรูปธรรมและไปสู่การใช้สัญลักษณ์ ในที่สุด
๑๓. เน้นการจัดระบบการเรียนรู้โดยนำผลการเรียนรู้ใหม่ไปผสมผสานกับผลการเรียนรู้ เดิม ซึ่งจะช่วยให้เกิดผลการเรียนรู้ใหม่ที่มีความหมายต่อตัวผู้เรียนดียิ่งขึ้น
๑๔. เน้นทักษะและความสามารถอันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียน เช่น เด็กที่คิดคำนวณผิด จะสามารถคิดคำนวณได้แม่นยำขึ้นถ้ามีความสามารถในการกะประมาณ ซึ่งจะช่วย ในการพิจารณาคำตอบว่าน่าจะถูกต้องหรือไม่
๑๕. ให้ความสนใจเรื่องลายมือ เพราะผู้เรียนจำนวนไม่น้อยที่คิดคำนวณผิดเพราะเขียน ตัวเลขไม่ชัดเจน ทำให้ตนเองอ่านตัวเลขผิด จึงคิดคำนวณผิดไปด้วย
๑๖. การฝึกหัดควรทำหลังจากที่ผู้เรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนดีแล้ว
๑๗. สร้างแรงจูงใจโดยเลือกกิจกรรมการฝึก ซึ่งเห็นผลได้ทันทีว่าคำตอบของผู้เรียนถูก หรือผิด
๑๘. ในเรื่องการฝึกทักษะการคิดคำนวณ ควรฝึกโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆแต่ฝึกบ่อยๆ

๑๙. ฝึกให้ผู้เรียนสนใจและเอาใจใส่ต่อความก้าวหน้าของตนเอง เช่น ให้ผู้เรียนเก็บแผนภูมิ และกราฟแสดงความก้าวหน้าในการเรียนของตนไว้
1.15 หมวกแห่งความคิด
Edward de Bon ได้พัฒนากิจกรรมเพื่อพัฒนาความคิด
หมวก คือ จะช่วยให้ผู้เรียนได้พยายามคิดทั้งคิดในกรอบ คิดที่จุดดี จุดด้อย จุดที่สนใจ ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้น แทนที่จะยึดความคิดเพียงด้านเดียว หมวกแห่งความคิดมี 6 ใบ ดังนี้



"ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน" เป็นผู้ริเริ่มแนวความคิดเรื่อง Lateral Thinking (การคิดนอกกรอบ) และเป็นคนพัฒนาเทคนิคการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และได้พัฒนาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "Six Thinking Hats" ซึ่งเป็นวิธีคิดที่มีมุมมองแบบ "รอบด้าน" ความคิดสร้างสรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นสำหรับผู้บริหาร เพราะนอกจากจะช่วยสร้างสิ่งใหม่ๆ แล้ว ยังช่วย ในการคิดค้นกลยุทธ์แก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่ง "เดอ โบโน" พบว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ ทุกคนมีอยู่ หรือสร้างขึ้นมาได้ แต่จะต้องมาฝึกกระบวนการสร้างความคิดดังกล่าว ในแต่ละวันตั้งแต่ตื่นนอน ทุกคนย่อมต้องมีการคิดในเรื่องต่างๆ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน จึงได้ให้เทคนิค “6 หมวกการคิด” เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมี ประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีการดังกล่าวได้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งบริษัทข้ามชาติอย่างเช่นบริษัท ไอบีเอ็ม และเซลส์ เป็นต้น หมวกแต่ละใบเป็นการนำเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ตามมุมมองต่างๆ ของปัญหา โดยวิธีการสวมหมวกทีละใบในแต่ละครั้ง เพื่อพลังของการคิดจะได้มุ่งเน้นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ความเห็นและความคิดสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นได้ และยังเป็นการดึงเอาศักยภาพของแต่ละคนมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว
Six Thinking Hats สูตรบริหารความคิดของ "เดอ โบโน" จะประกอบด้วยหมวก 6 ใบ 6 สี คือ

  • White Hat หมวกสีขาว สีขาวเป็นสีที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นกลาง จึงเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง จำนวนตัวเลข เมื่อสวมหมวกสีนี้ หมายความว่าที่ประชุมต้องการข้อเท็จจริงเท่านั้น คือ ข้อมูลเบื้องต้นของสิ่งนั้นๆ ไม่ต้องการความคิดเห็น
  • Red Hat หมวกสีแดง สีแดงเป็นสีที่แสดงถึงอารมณ์และความรู้สึก เมื่อสวมหมวกสีนี้ เราสามารถบอกความรู้สึกของตนเองว่าชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงอารมณ์จะไม่มีเหตุผลประกอบ
  • Black Hat หมวกสีดำ สีดำ เป็นสีที่แสดงถึงความโศกเศร้า และการปฏิเสธ เมื่อสวมหมวกสีนี้ ต้องพูดถึงจุดด้อย อุปสรรคโดยมีเหตุผลประกอบ ข้อที่ควรคำนึงถึง เช่น เราควรทำสิ่งนี้หรือไม่ ไม่ควรทำสิ่งนี้หรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ทำให้การคิดมีความรอบคอบมากขึ้น
  • Yellow Hat หมวกสีเหลือง สีเหลือง คือสีของแสงแดด และความสว่างสดใส เมื่อสวมหมวกสีนี้ หมายถึง การคิดถึงจุดเด่น โอกาส สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลในเชิงบวก เป็นการเปิดโอกาสให้พัฒนา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
  • Green Hat หมวกสีเขียว สีเขียว เป็นสีที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และการเจริญเติบโต เมื่อสวมหมวกสีนี้ จะแสดงความคิดใหม่ๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น การคิดอย่างสร้างสรรค์
  • Blue Hat หมวกสีน้ำเงิน สีน้ำเงินเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ จะเป็นเหมือนท้องฟ้า หมวกนี้เกี่ยวกับการควบคุม การบริหารกระบวนการคิด หรือการจัดระเบียบการคิด



1.16 การสอนแบบ 4 MAT
เป็นการสอนที่ประยุกต์มาจากแบบใยแมงมุม กิจกรรมจะมี 4 ขั้นตอน หรือใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล
ขั้นที่ 1 Why (ทำไม) ตั้งคำถามกระตุ้นให้เด็กสนใจเรื่องที่เรียน
ขั้นที่ 2 What (อะไร) เป็นการอธิบายความเข้าใจการจัดการศึกษาด้วยตนเอง
ขั้นที่ 3 How (ทำอย่างไร) เป็นการนำไปปฏิบัติ นำไปใช้
ขั้นที่ 4 If (ถ้า) เป็นการกระตุ้น

แมคคาร์ธี (Mc Carthy) ได้พัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT นี้ โดยได้รับอิทธิพลแนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ของคอล์ม (Kolb) ที่เสนอแนวความคิดเรื่องรูปแบบการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ มิติ คือ การรับรู้ (perception) และกระบวนการจัดการข้อมูล (processing) การรับรู้ของบุคคลอาจเป็นประสบการณ์ตรง อาจเป็นความคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม ส่วนกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูลคือการลงมือปฏิบัติ ในขณะที่บางคนเรียนรู้โดยผ่านการสังเกต และนำข้อมูลนั้นมาคิดอย่างไตร่ตรอง แมคคาร์ธีแบ่งผู้เรียนออกเป็น แบบ คือ 1) ผู้เรียนที่ถนัดการเรียนรู้โดยจินตนาการ(Imaginative Learners) 2) ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้มโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม นำกระบวนการสังเกตอย่างไตร่ตรอง หรือเรียกว่าผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learners) 3)ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้มโนทัศน์แล้วผ่านกระบวนการลงมือทำหรือที่เรียกว่าผู้เรียนที่ถนัดการใช้สามัญสำนึก (Commonsense Learners) และ 4) ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและนำสู่
ลักษณะการพัฒนารูปแบบ
แมคคาร์ธี และคณะ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น, 2542) ได้นำแนวคิดของคอล์ม มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานของสมองทั้ง ซีก ทำให้เกิดเป็นแนวคิดทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้คำถามหลัก คำถาม กับผู้เรียน แบบ คือ
- ผู้เรียนแบบที่ 1 (Imaginative Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรม ผ่านกระบวนการจัดข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง เขาจะเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับประสบการณ์เดิมของตนเองได้อย่างดี การเรียนแบบร่วมมือ การอภิปรายและการทำงานกลุ่มจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนกลุ่มนี้ คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือ ทำไม” (Why ?)
- ผู้เรียนแบบที่ 2 (Analytic Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะสามารถเรียนรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความรู้ที่เป็นทฤษฎี รูปแบบ และความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การอ่าน การค้นคว้าข้อมูลจากตำราหรือเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งการเรียนรู้แบบบรรยาย จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเหล่านี้ คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ อะไร” (What ?)
- ผู้เรียนแบบที่ 3 (Commonsense Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถ/มีความถนัดในการรับรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมแล้วนำสู่การลงมือปฏิบัติ เขาให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้ ความก้าวหน้า และการทดลองปฏิบัติ กิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติและกิจกรรมการแก้ปัญหาจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนในกลุ่มนี้ คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ อย่างไร” (How ?)
- ผู้เรียนแบบที่ 4 (Dynamic Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการเรียนรู้ ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมแล้วนำสู่การลงปฏิบัติ เขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นการสำรวจ ค้นคว้า การค้นพบด้วยตนเอง แล้วเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นไปสู่การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ ถ้า” (If ?)

จากลักษณะของผู้เรียนทั้ง แบบดังกล่าวข้างต้น Morris และ Mc Cathy ได้นำมาเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบโฟร์แม็ทซิสเต็ม โดยจัดขั้นตอนการสอนให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาอย่างเต็มที่เป็นการพัฒนาพหุปัญหาทั้ง ด้าน


1.17 แผนการสอนแบบ CIPPA
เป็นแผนการสอนที่ใช้กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 5 ด้าน ได้แก่
1.Construct หรือ การสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
2. Interaction หรือการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนสื่อและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
3. Physical Participation หรือการมีส่วนร่วมทางกาย หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในการทำกิจกรรมลักษณะต่างๆ
4. Process learning หรือการเรียนรู้กระบวนการต่างๆซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
5. Application หรือการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ หมายถึง ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ
ทิศนา แขมมณี (2545 : 14) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบซิปปา เป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและมีนักการศึกษาให้คำจำกัดความของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษร  คือ



                              C หมายถึง Construct คือการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหาข้อมูล ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูลและสรุปข้อความ
                         I  หมายถึง Interaction คือ การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดและประสบการณ์แก่กันและกัน
                         P  หมายถึง Participation คือการให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากที่สุด
                         P หมายถึง Process หรือ Product คือการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน ข้อความที่สรุปได้
                          A หมายถึง Application คือการให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL)
      ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ ทิศนา แขมมณี (2548 : 281 - 282) ได้เสนอกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบของซิปปา ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้
 ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
 ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
 ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มีจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆเพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง  เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4  การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน
    ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
หากข้อความรู้ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากต้อง
 ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
 มีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
            1.18 วิธีการสอนแบบ Storyline
เป็นการสอนแบบบูรณาการโดยการดึงเอาแนวคิดจากวิชาต่างๆโดยใช้กระบวนการหลากหลายมาแก้ไขปัญหา และกิจกรรมหลายรูปแบบ โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และตอบสนองความแตกต่างของผู้เรียนโดยคำนึงว่าผู้เรียนมีประสบการณ์และทักษะเดิมมีการเรียนรู้ในหลายลักษณะ เช่น การเรียนรายบุคคล กลุ่มใหญ่แต่เน้นการทำงานแบบร่วมมือ cooperative และทำงานเป็นทีม  

บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์
บทบาทของครู
1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
1)กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ
2)เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
1)เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน
2)เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียน
3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง
4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน
5) เป็นผู้แนะนำ (Director)
6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
7)เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน
8)เป็นผู้ประเมิน (Evaluator) ควรมีการประเมินผลเป็นระยะๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน

3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented)
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary)
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้
6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น
ลักษณะเด่นของวิธีสอน 
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
4) ปัญหาที่รอการแก้ไข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Week 16

🔺 กิจกรรมชุดที่ 1 🔺 กิจกรรมชุดที่ 2 🔺 กิจกรรมชุดที่ 3 🔺 กิจกรรมชุดที่ 4 🔺 กิจกรรมชุดที่ 5 🔺 กิจกรรมชุดที่ 6 🔺 กิจกรรมชุ...