บทที่1 แนวคิดการออกแบบและการจัดการเรียนรู้
3. ประโยชน์ของการออกแบบการเรียนการสอน
ไชยยศ เรืองสุวรรณ ได้กล่าวว่า
1. ผู้บริหารหรือผู้จัดการโปรแกรมการศึกษาและการเรียนการสอนย่อมต้องการมั่นใจในประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลของการเรียนโดยใช้งบประมาณประหยัดที่สุด
2. นักออกแบบการสอน ย่อมต้องการความมั่นใจว่า
โปรแกรมที่ออกแบบไว้เป็นโปรแกรมที่น่าพอใจ
ซึ่งตัวบ่งชี้ที่สำคัญในความพอใจคือผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในเวลาที่เหมาะสม
3. ครูผู้สอนย่อมต้องการที่จะเห็นผู้เรียน
ได้ประสบการณ์การเรียนด้วยความสนุกสนานและพอใจ (ไชยยศ, 2533 : 14)
ออร์แลนสกี และสริง (Oransky and Stering, 1981) ได้สรุปผลจากการวิจัยการสอนรายวิชาเทคนิคต่างๆ
ด้านการทหารที่มีการออกแบบระบบการเรียนการสอนเป็นอย่างดีว่าสามารถลดเวลาการสอนรายวิชาเหล่านั้นลงได้จาก
25.30 สัปดาห์ เหลือเพียง 9.6 สัปดาห์อย่างไรก็ตามรายวิชาดังกล่าวที่เป็นรายงานผลการวิจัยนั้น
เป็นรายวิชาด้านการทหาร ยังไม่มีรายงานผลการวิจัยรายวิชาอื่น (ในต่างประเทศ)
ที่พัฒนาขึ้นมาโดยกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนและกดเวลาการสอนได้
สำหรับประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า ระบบการสอนของโครงการส่งเสริม สมรรถภาพการสอน (Reduce Instructional : RIT) นั้นเป็นการออกแบบและพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี (ไชยยศ, 2533 : 14)
นักออกแบบการเรียนการสอนในปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีการสร้างความรู้ที่เชื่อว่า
ความรู้เกิดจากการสร้างของแต่ละบุคคล
ความรู้ที่แต่ละคนสร้างขึ้นย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะของบุคคลนั้น
เพราะการแปลความหมายขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นไปตามสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่แต่ละคนได้รับ
ดังนั้นการสร้างความรู้จึงแบ่งได้2 แนวทาง แนวทางแรกเชื่อว่าการสร้างความรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญา (cognitive constructivism) ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลซึ่งแต่ละคนมีการสร้างความรู้ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นจึงเรียกการสร้างความรู้ในแนวทางนี้ว่าเป็นการสร้างความรู้ของเอกัตบุคคล (individual constructivism) อีกแนวทางหนึ่งเชื่อว่าปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทส าคัญในการพัฒนาความรู้
ดังนั้นจึงเรียกการสร้างความรู้ในแนวทางนี้ว่า การสร้างความรู้ที่มาจากสังคม (social constructivism) แนวคิดในการสร้างความรู้ทั้ง 2 แนวทาง มีอิทธิพลต่อการออกแบบการเรียนการสอนในปัจจุบันแนวคิดการสร้างความรู้ทั้งสองแนวทางมีความแตกต่างกันดังนี้(Smith & Ragan, 2005, p. 20)
นักทฤษฎีการสร้างความรู้ในแนวการสร้างความรู้ของเอกัตบุคคลมีความเชื่อดังนี้
1. ความรู้สร้างขึ้นจากประสบการณ์
2. การเรียนรู้เป็นผลที่ได้จากการที่บุคคลแปลความหมายของความรู้
3. การเรียนรู้เป็นกระบวนการเชิงรุก
การแปลความหมายอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์
ของแต่ละคน
การเรียนรู้ตามแนวคิดนี้เน้นที่กระบวนการทางสติปัญญาของแต่ละบุคคล
และมีทัศนะต่อการเรียนรู้ว่าเป็นเรื่องของการจัดระเบียบของสติปัญญาใหม่
“learning as a matter of
cognitivereorganization” (Duffy
& Cunningham, 1996) สำหรับการเรียนรู้ตามแนวการสร้างความรู้ทางสังคมนั้น
เน้นที่กระบวนการทางสังคมและวัฒนธรรมและมีทัศนะว่า การเรียนรู้เป็นการประนีประนอมความคิดเห็นจากมุมมองอันหลากหลายของบุคคล
“learning is
collaborative with meaningnegotiated from multiple
perspective” (Smith & Ragan, 2005, p. 20) ตามแนวคิดนี้ความรู้เป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันในชุมชนของผู้เรียน
นักออกแบบการเรียนการสอนที่นำทฤษฎีการสร้างความรู้ทั้งสองแนวทางไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนจึงต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นบริบทจริง และเป็นชีวิตจริงในที่นี้จะได้กล่าวถึง
หลักการของการออกแบบการเรียนการสอน การประยุกต์หลักการไปสู่กระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
และรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนที่อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีการสร้างความรู้
ดังมีรายละเอียดดังนี้หลักการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้การออกแบบการเรียนการสอนที่นำเอาทฤษฎีการสร้างความรู้มาใช้นั้นจะผสมผสานแนวคิดการสร้างความรู้ทั้งสองแนวเข้าไว้ในการออกแบบ
เนื่องจากสภาพการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงนั้นแม้ว่านักเรียนแต่ละคนจะสร้างความรู้บนพื้นฐานประสบการณ์ของตนเอง
ความรู้ที่สร้างขึ้นนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่นักเรียนเป็นสมาชิกอยู่ดีอีกทั้งสภาพการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนนั้นนักเรียนจะต้องท
างานร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันอันเป็นสภาพปกติของการเรียนการสอนในปัจจุบัน
ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนจึงควรน าหลักการทั้งสองแนวทางมาใช้ร่วมกันซึ่งสรุปเป็นหลักการพื้นฐานได้ดังนี้
1. การเรียนรู้เป็นผลจากการแปลความหมายของประสบการณ์ส่วนบุคคล
2. การเรียนรู้เป็นประสบการณ์เชิงรุกเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริงและผู้เรียนมีความ
เกี่ยวข้อง
3. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนความความคิดเห็นอันหลากหลาย
หลักการแต่ละข้อน
ามาประยุกต์ในการออกแบบการเรียนการสอนดังนี้
1. การเรียนรู้เป็นผลจากการแปลความหมายของประสบการณ์ส่วนบุคคล ตามหลักการ
นี้ผู้เรียนเป็นผู้พัฒนาความรู้ของตนเอง
ผู้สอนคือผู้อ านวยความสะดวกในการเรียนรู้
1. การพัฒนาความรู้ด้วยตนเอง (self-knowledge) ในหลักการสร้างความรู้นั้นความรู้ใหม่สร้างขึ้นจากพื้นฐานความรู้เดิมที่มีมาก่อน
ซึ่งไม่ได้หมายความเฉพาะด้านสารสนเทศเท่านั้นแต่ยังรวมถึงด้านค่านิยม
ประสบการณ์และความเชื่อ รวมไปถึงทักษะในการสะท้อนความคิดของตนเองซึ่งจ าเป็นต่อการสร้างความรู้
นอกจากนี้แล้วการที่บุคคลจะสร้างความรู้ของตนเองได้ยังต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการสร้างความรู้
หรือการรู้ว่าจะรู้ได้อย่างไร (knowing
how to know) การสร้างความรู้ด้วยตนเองนี้จ
าเป็นต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เป็นเงื่อนไขในการส่งเสริมการสร้างความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างความรู้จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของความรู้ที่สร้างขึ้น
สามารถควบคุมและรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง
ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนตามหลักการนี้จึงเกี่ยวกับการสร้างสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งนับเป็นภารกิจที่ส
าคัญของผู้เรียนที่มีวุฒิภาวะ
2. การอำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ (facilitating learning) นักออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้
มีความเชื่อว่าการสอนเป็นกระบวนการส่งเสริมการสร้างความรู้มากกว่าการถ่ายทอดความรู้ (Duffy & Cunningham, 1996, p. 171) ดังนั้นผู้เรียนจึงไม่ควรอยู่ในสภาพเฉื่อยชาหรือเป็นเพียงฝ่ายรับความรู้
จดจำและระลึกข้อมูลเท่านั้น ตรงกันข้ามผู้เรียนควรมีความกระตือรือร้นในการคิด วิเคราะห์
เข้าใจและประยุกต์ใช้สารสนเทศ ทั้งครูและนักออกแบบใช้เทคนิคหลากหลายและใช้เทคโนโลยีในการสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เชิงรุก
บรรยากาศที่อำนวยความสะดวกในการสร้างความรู้ควรมีลักษณะดังนี้
1. อนุญาตให้ผู้เรียนมีอิสระในการตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความหมายของตนเอง
ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกับเพื่อนสมาชิกในห้องเรียนและได้พัฒนาเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้
2. ผู้สอนส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนให้มากที่สุด
แนะนำผู้เรียนในการเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่
จัดให้มีการประเมินย่อยและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน
เคารพความคิดของผู้เรียนและสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความเป็นตัวของตัวเอง
3. ให้ผู้เรียนได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีลักษณะสร้างความผูกพัน
มีความท้าทายเน้นการสร้างความคิดรวบยอดหลัก
และส่งเสริมการคิดระดับสูง
2. การเรียนรู้เป็นประสบการณ์เชิงรุกเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริงและผู้เรียนมีความเกี่ยวข้อง
การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้เน้นการเรียนรู้เชิงรุก
กิจกรรมการเรียนรู้ที่อยู่ในบริบทที่เป็นชีวิตจริง
2.1 การเรียนรู้เชิงรุก
นักทฤษฎีการสร้างความรู้มีความคิดเห็นเรื่องการค้นพบความรู้ซึ่งเป็นการเรียนรู้เชิงรุกแตกต่างจากนักทฤษฎีกลุ่มพุทธินิยม
การเรียนรู้โดยการค้นพบตามทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมนั้น
ครูมักเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อหา ผู้เรียนค้นพบค าตอบที่ครูรู้มาก่อนแล้วส่วนการค้นพบตามทฤษฎีการสร้างความรู้นั้นผู้เรียนต้องลงมือทำหลายสิ่งไม่เฉพาะแต่เพียงประมวลผลข้อมูลที่ครูเป็นผู้นำเสนอ
แต่ผู้เรียนจะต้องใช้วิธีการในการจัดการกับข้อมูลหลายอย่าง ตั้งแต่การรับรู้การใช้กระบวนการคิด ในการสังเกต
เปรียบเทียบ จัดกลุ่มจัดประเภท ขยายรายละเอียดของสารสนเทศการแปลความหมายของข้อมูลตามความรู้และประสบการณ์เดิมที่มีมาก่อน
การใช้กลวิธีเหล่านี้นอกจากจะช่วยสร้างความรู้ให้กับผู้เรียนแล้วยังช่วยพัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาและส่งเสริมการใช้กระบวนการประมวลสารสนเทศระดับสูงของผู้เรียนอีกด้วย
(Richey, Klein, &
Tracey, 2011, p. 132)
2.2 กิจกรรมการเรียนรู้ที่อยู่ในบริบทที่เป็นชีวิตจริง
ทฤษฎีการสร้างความรู้ส่งเสริมการเรียนและการฝึกฝนในบริบทที่เป็นชีวิตจริง
ซึ่งช่วยให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจและสร้างการจูงใจในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังส่งเสริมการถ่ายโอนและการประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหาในสภาพจริง สมิทและราแกน (Smith & Ragan, 2005) เรียกแนวทางการเรียนการสอนประเภทนี้ว่า “anchored instruction” ผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากแนวการสอนนี้คือการเรียนรู้ที่เป็นสภาพจริง
หลักการของการสอนตามแนวทางนี้ก็คือกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องยึดอยู่กับเรื่องราวที่ผู้เรียนให้ความสนใจ เช่น นิทาน
การผจญภัย เหตุการณ์ปัญหา หรือประเด็นที่ผู้เรียนสนใจ สื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนต้องมีอย่างพร้อมมูลเพื่อให้ผู้เรียนได้สำรวจ
สืบค้นเพื่อน ามาใช้ในการแก้ปัญหาผู้เรียนใช้วิธีท างานกลุ่มแบบร่วมมือรวมพลังเพื่อสร้างความรู้และแก้ปัญหา
แบรนส์ฟอร์ด (Bransford,2013) กล่าวถึง “anchored instruction” ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน เนื่องจากในปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สารสนเทศและการสื่อสาร
ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสามารถท างานร่วมกันได้โดยผ่านอุปกรณ์การเชื่อมต่อต่าง ๆ และสามารถจ
าลองสถานการณ์จริงมาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์จริง
ตัวอย่างโปรแกรมการศึกษาที่สร้างขึ้นตามแนวคิดนี้ซึ่งใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้แก่
1) “Jasper Woodbury
Problem Solving” เป็นโปรแกรมผจญภัยเพื่อเรียนรู้ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์และการน
าความคิดรวบยอดคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา
2) “Young Sherlock
Holms” เป็นโปรแกรมที่เรียนรู้ทักษะการเชื่อมโยงสาเหตุและผล
การเรียนรู้สภาพชีวิตของชาวอังกฤษในยุควิคตอเรีย
ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการอ่านจับใจความและเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเรียนรู้ตามสภาพจริง เช่น
ปัญหาในชีวิตประจำวัน สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคม สภาพเหล่านี้มีลักษณะที่ซับซ้อน
มีสาระสนเทศที่เกี่ยวข้องมากมายทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและไม่เกี่ยวข้อง
ซึ่งแตกต่างจากการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ครูน าปัญหาจริงมาดัดแปลง และท
าให้ง่ายขึ้นโดยตัดมาเป็นส่วน ๆ ไม่ได้เชื่อมโยงกับบริบท
การค้นหาและระบุปัญหา ตลอดจนการแก้ปัญหาตามสภาพจริงขึ้นกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง
เช่น ความเชื่อและค่านิยมของผู้เรียน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
อย่างไรก็ตามเราก็สามารถจำลองกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงมาใช้ได้โดยใช้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์
3. การเรียนรู้เป็นผลจากการสำรวจของมุมมองที่หลากหลาย
หลักการนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดของไวก็อทสกีซึ่งกล่าวว่า
การสร้างความรู้มีพื้นฐานมาจากสังคมและวัฒนธรรมที่บุคคลเป็นสมาชิก ดังนั้นองค์ประกอบส
าคัญของการออกแบบการเรียนการสอนจึงเน้นสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่สมบูรณ์และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบรวมพลัง
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้ส ารวจและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นของสมาชิกในสังคมอย่างหลากหลาย
เพื่อน าไปสู่การประนีประนอมความคิดเห็นและหลอมรวมเป็นความคิดของตนเอง
3.1 สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่สมบูรณ์หมายถึง
สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายลักษณะและตัวแทนของความรู้จากความคิดรวบยอดและกรณีศึกษาที่แตกต่างกัน
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้นี้ให้มุมมองและสารสนเทศที่สมบูรณ์เช่น
มีเครือข่ายความรู้ปัจจัยน าเข้ามาจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย สามารถตีความการสอนได้หลากหลาย
3.2 สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบรวมพลัง
ช่วยส่งเสริมผู้เรียนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันสะท้อนการรับรู้การเรียนรู้แบบรวมพลังไม่ใช่เพียงแค่แบ่งงานกันท
าและน าไปสรุปร่วมกัน
แต่หมายถึงการให้ผู้เรียนได้พัฒนา เปรียบเทียบ
เข้าใจมุมมองที่หลากหลายในประเด็นต่าง ๆดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้แบบรวมพลังจึงได้แก่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
การอภิปราย การโต้เถียง การสะท้อน และการประนีประนอมความคิดเห็น
สิ่งแวดล้อมนี้อาจเกิดขึ้นภายในกลุ่มเล็ก ๆ หรือการจัดชุมชนแห่งการปฏิบัติซึ่งสามารถสร้างได้จากสิ่งแวดล้อมอิเล็กทรอนิกส์เช่น
ห้องสนทนาทางเครือข่ายออนไลน์เป็นต้น เรื่องที่น
ามาเรียนรู้อาจเป็นประเด็นความสนใจส่วนตัว การเรียนรู้ในลักษณะนี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ข้ามกลุ่ม
การพัฒนาทางปัญญาเกิดจากการส่งต่อจากความคิดหนึ่งสู่ความคิดหนึ่ง จากความคิดสู่เครื่องมือ
จากเครื่องมือสู่ความคิดกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนมีขั้นตอนที่ส
าคัญ 3ขั้น ได้แก่การวิเคราะห์ การออกแบบกลวิธีการเรียนรู้
และการประเมินผลการเรียนรู้ซึ่งในแต่ละขั้นตอนได้น าหลักการของการสร้างความรู้ไปใช้ในการด าเนินงานดังนี้
1. การวิเคราะห์การวิเคราะห์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลที่นำไปใช้ในการออกแบบ
ซึ่งกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบและการออกแบบตามแนวคิดการสร้างความรู้มีความแตกต่างในการวิเคราะห์ในสิ่งต่อไปนี้
1. การวิเคราะห์เป้าหมายการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบเน้นการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่เฉพาะเจาะจง
และแตกเป้าหมายการเรียนรู้เป็นจุดประสงค์ย่อย ๆที่เรียกว่าจุดประสงค์นำทางเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเนื้อหา
ทักษะ และเจตคติ ตลอดจนขั้นตอนการเรียนการสอนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดภาระงานย่อย
ๆ สำหรับให้นักเรียนปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้เนื้อหาที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ
ทฤษฎีทักษะ และเจตคติตามเป้าหมายของการเรียนรู้ที่กำหนดไว้การสร้างไม่ใช่การรับ
ดังนั้นจึงกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้แบบทั่วไปและแทนที่จะวิเคราะห์เนื้อหาส่วนการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้นั้นเนื่องจากมีความเชื่อว่าความรู้มาจาก การเรียนรู้เพื่อจำแนกเป็นเนื้อหาย่อย
ๆ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กันดังที่นักออกแบบการเรียนการสอนบริบทการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาการเรียนรู้
โดยพิจารณาว่าในสิ่งแวดล้อมจริงนั้นมีความรู้ทักษะและเชิงระบบทำ
แต่นักทฤษฎีการสร้างความรู้จะพิจารณาว่าผู้เรียนที่มีความรู้ประเภทนั้นต้องท
าอะไรได้ ในสภาพจริง
ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้จะเน้นการวิเคราะห์ ความซับซ้อนของปัญหาเป็นอย่างไรการวิเคราะห์นี้เพื่อช่วยในการจัดเตรียมแหล่งข้อมูลและสารสนเทศต่างๆที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตัวเองในการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นสภาพจริง
เป้าหมายอย่างหลากหลายซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้นำไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา
หรือ วิเคราะห์ความคิดรวบยอดที่สัมพันธ์กับปัญหาตามสภาพจริง ผู้เรียนเป็นผู้ก
าหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การเรียนรู้จึงเป็นเป้าหมายเฉพาะตนที่ผู้เรียนก
หนดขึ้นเองไม่ใช่เป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกันของกลุ่ม ซึ่งผู้สอนเป็นผู้กำหนดให้
2. การวิเคราะห์ผู้เรียน
การออกแบบการเรียนการสอนทั้งสองแนวคิดมีการวิเคราะห์ผู้เรียน แต่การออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเน้นการวิเคราะห์คุณลักษณะส
าคัญที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้เฉพาะ
ได้แก่ คุณลักษณะทั่วไป เช่น เพศ อายุ ประสบการณ์อาชีพ และภูมิลำเนา เป็นต้น
แบบการเรียนรู้ทักษะและความรู้ที่มีมาก่อน แต่นักออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้สนใจมุมมองของผู้เรียนเป็นรายบุคคลก่อนเข้าร่วมการเรียนรู้มากกว่า คุณลักษณะของกลุ่มผู้เรียนหรือพื้นฐานที่มีมาก่อนของผู้เรียน
ที่ส าคัญคือความตระหนักของผู้เรียนที่มีต่อความรู้ของตนเองและความสามารถในกระบวนการสร้างความรู้
2. การออกแบบกลวิธีการเรียนรู้กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบและการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ต่างเห็นความส
าคัญของการเลือกกลวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของผู้เรียน
ริชี เคลนและเทรซี (Richey, Klein, &
Tracey,2011, pp. 135-138) ได้สรุปกลวิธีของการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ไว้ ดังนี้
1. การเรียนรู้จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เรียน (cognitive apprenticeships)โดยพยายามจัดสภาพแวดล้อมที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากผู้มีความรู้
ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ทรงภูมิความรู้แทนที่จะเรียนกับผู้รู้ทั่ว ๆ
ไปจากการเรียนการสอนผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่สอน และท
าหน้าที่ได้เหมือนกับโค้ชที่รู้ลึก รู้จริงที่สามารถชี้แนะการปฏิบัติให้กับธรรมดา
นอกจากนี้ควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการท างานในสภาพจริง ครูผู้สอนต้องท
าหน้าที่เป็น ผู้เรียนได้ด้วย มิใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้เท่านั้น
2. การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) หรือ PBL เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากปัญหาจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีความซับซ้อนเพราะไม่ใช่ปัญหาที่สร้างขึ้นมาเพื่อการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายแน่นอนซึ่งผู้สอนเป็นผู้สร้างซึ่งมีการท ำหน้าที่ดังนี้ดัดแปลงให้ง่ายต่อการวิเคราะห์
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงนั้นมักไม่มีโครงสร้างชัดเจน การเรียนรู้แบบ PBL ครู
1. สร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการศึกษาและการค้นพบของผู้เรียนโดยเตรียมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ให้ผู้เรียนใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานความรู้เพื่อน าไปใช้ในการแก้ไขปัญหา
2. ตั้งค าถามที่ช่วยให้ผู้เรียนท
าความเข้าใจปัญหาได้อย่างชัดเจน และชี้ชวนให้นักเรียนได้ตั้งค
าถามที่น่าสนใจหรือที่อยากรู้เพื่อน าไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบ เพราะหลักการเรียนรู้ที่ส าคัญก็คือ การตั้งค
าถามที่ถูกต้องมีความส าคัญกว่าการหาค าตอบ
3. ครูช่วยให้นักเรียนสามารถถอดบทเรียน
(reflection) จากสิ่งที่ได้เรียนรู้เพื่อสรุปเป็นสาระและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้เปรียบเทียบ ประเมินความเห็นต่าง ๆ
ที่เป็นข้อโต้แย้ง การแปลความหมายของข้อมูลต่าง ๆ และนำมาการเรียนการสอนจะต้องจัดให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ข้อมูล
หลักฐานต่าง ๆ ด้วยเหตุผลประมวลให้เป็นข้อสรุปของสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนที่ใช้ในการตอบปัญหา
การเรียนในลักษณะนี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่นักเรียนฝึกการใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ
ลึกซึ้งถี่ถ้วนและฝึกการคิดอย่างสร้างสรรค์
ทำให้การเรียนรู้มีความหมาย มีคุณค่าเพราะคำตอบเกิดจากการสร้างของผู้เรียน
1. การใช้เทคนิคชี้แนะช่วยเหลือ คำว่า “การชี้แนะช่วยเหลือ” (scaffolding) เป็นค ำศัพท์ที่วูด บรูเนอร์และรอส (Wood, Bruner, & Ross, 1976) นักจิตวิทยากลุ่มพุทธินิยม เป็นผู้นำมากล่าวถึงเป็นคนแรกเกี่ยวกับบทบาทของครูในการส่งเสริม
ช่วยเหลือในระหว่างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตน
และหลักการนี้สอดคล้องกับแนวคิดของไวก็อทสกีที่อธิบายเกี่ยวกับบทบาทของครู
ผู้ใหญ่หรือผู้มีความรู้ มากกว่าในการช่วยเหลือผู้เรียนที่อยู่ในช่องว่างของพัฒนาการระหว่างสิ่งที่ผู้เรียนรู้หรือสามารถท
าได้จากผู้รู้ระยะห่างนี้เรียกว่า ZPD (zone of proximal development) การชี้แนะช่วยเหลือจึงหมายถึงด้วยตนเองตามล
าพังกับสิ่งที่ผู้เรียนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้หรือสามารถท
าได้เมื่อได้รับการชี้แนะช่วยเหลือ การช่วยผู้เรียนให้ข้ามพ้นช่องว่างนี้ไปได้ซึ่งเป็นการขยายความสามารถของผู้เรียนให้เพิ่มขึ้น
โดยให้ความให้ค ำปรึกษา
จัดให้มีการชี้แนะเป็นรายบุคคล เป็นต้น ตัวอย่างของการชี้แนะช่วยเหลือ เช่น
ครูให้แนวช่วยเหลืออย่างเพียงพอ
การชี้แนะช่วยเหลือนี้ต้องท าในลักษณะท้าทายและให้อิสระผู้เรียนในการคิด การชี้แนะช่วยเหลือนี้ท
าได้หลายลักษณะ เช่น การอธิบาย การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การใช้ค าถาม การให้ เอกสารแนะน
าการให้ขอบเขตของเนื้อหาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจสาระความรู้การบอกแหล่งเรียนรู้
การ
การชี้แนะช่วยเหลือที่ใช้สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
ค ำถามเพื่อกระตุ้นความใส่ใจของผู้เรียนเกี่ยวกับหลักการหรือข้อความส
าคัญในขณะที่ผู้เรียนรวบรวม สารสนเทศที่จะน าไปใช้ในการแก้ปัญหา
การส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการวางแผน ควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ หรือรู้จักการประเมิน
สะท้อน และสรุปการเรียนรู้ของตนเองภายหลังเสร็จสิ้นการทำโครงการ เป็นต้น
1.
soft scaffolding หมายถึง
การชี้แนะช่วยเหลือที่มีลักษณะยืดหยุ่น เป็นไปตามสถานการณ์ตามความต้องการของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอน
จุดอ่อนของการชี้แนะช่วยเหลือในลักษณะนี้คือถ้าในห้องเรียนมีนักเรียนจ
านวนมากครูไม่สามารถชี้แนะช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างทั่วถึง
การชี้แนะช่วยเหลือต้องประยุกต์ให้เหมาะกับนักเรียนส่วนใหญ่ของห้องเท่านั้น
ไม่สามารถเจาะลึกเป็นรายบุคคล
2.
hard scaffolding หมายถึง การชี้แนะช่วยเหลือที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อน
เพราะครูรู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่สอนเป็นเรื่องที่ยากและการชี้แนะช่วยเหลือเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนในระหว่างการเรียนการสอนวิธีการที่ใช้ในการชี้แนะช่วยเหลือ
ดังนี้(Yelland & Masters,
2007)นอกจากประเภทของการชี้แนะช่วยเหลือข้างต้นนี้แล้ว
ยังแบ่งการชี้แนะช่วยเหลือตาม
1. reciprocal scaffolding เป็นลักษณะการชี้แนะช่วยเหลือโดยให้นักเรียนท างานเป็นกลุ่มตั้งแต่2คนขึ้นไป
ซึ่งมีความรู้ ความถนัดแตกต่างกัน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้จากความรู้
ประสบการณ์และความสามารถของกันและกัน
และได้แลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานของกลุ่มให้นักเรียนได้พัฒนาความคิดในระดับที่สูงขึ้นเพราะได้ท
างานกับคนที่มีความรู้มากกว่าประสบความส าเร็จ
โดยมีครูหรือผู้มีความรู้มากกว่าให้ค าแนะน าช่วยเหลือ การท างานในลักษณะนี้ท าให้
2. technical scaffolding หมายถึงการใช้คอมพิวเตอร์แทนครูในการเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้เรียนได้รับการชี้แนะช่วยเหลือผ่าน web-links, online-tutorial, help page เป็นต้น
2.4 การร่วมมือ (collaboration) เป็นกลวิธีของการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนท างานร่วมกัน เทคนิควิธีที่น
ามาใช้ เช่น เพื่อนสอนเพื่อน กลุ่มอภิปราย การใช้ชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นต้น ค ำที่ใช้ในการเรียนรู้ลักษณะนี้ มี 2 คำ ได้แก่คำว่า “การเรียนรู้แบบรวมกลุ่มหรือรวมพลัง”ความหมายที่เหมือนกัน แต่ค
าว่าการเรียนรู้แบบรวมกลุ่มหรือรวมพลังนั้นไม่เน้นการจัดโครงสร้างของกลุ่ม(collaborative learning)
และ“การเรียนรู้แบบร่วมมือ” (cooperative learning) ทั้งสองค ามักใช้ใน ดังนั้นลักษณะของกลุ่มจึงมีความยืดหยุ่น
ไม่ตายตัวเหมือนการเรียนรู้แบบร่วมมือ งานที่ท าในกลุ่มต่างจากการเรียนรู้แบบร่วมมือซึ่งออกแบบงานให้ตรงกับผลการเรียนรู้ที่ต้องการ
เนื่องจากทฤษฎีการการเรียนรู้แบบรวมกลุ่มนี้มีลักษณะเปิดกว้าง
ไม่ระบุตายตัวว่ามุ่งผลการเรียนรู้ด้านความรู้หรือทักษะ ซึ่ง สร้างความรู้เชื่อว่า
การสร้างความรู้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างความรู้ โดยล าพัง จึงท
าให้แนวโน้มของการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้นี้สนใจในปัจจุบันจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นกลุ่มผ่านสื่อที่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์
(computermediated collaboration-CMC)
ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สื่อสารผ่านการสนทนา
อภิปราย โต้ตอบได้อย่างอิสระ สะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น CMC จึงเป็นการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างความรู้ซึ่งเป็นที่นิยม
3. การประเมินผลการเรียนรู้การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามแนวคิดการสร้าง
ความรู้มีลักษณะ ดังนี้
1. การประเมินผลอิสระจากเป้าหมาย (goal-free evaluation) เนื่องจากการประเมินกระบวนการเรียนรู้อาจเกิดอคติได้ถ้าล่วงรู้เป้าหมายการเรียนรู้ล่วงหน้า
ดังนั้นการประเมินกระบวนการคิดของผู้เรียนตามแนวคิดการสร้างความรู้การประเมินจะใช้การถามค
าถามให้ผู้เรียนของตนเพื่อยืนยันแนวทางการแก้ปัญหาที่ได้เลือกไว้อธิบายกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวทางที่ได้ตัดสินใจเลือกและให้ผู้เรียนหาเหตุผลสนับสนุนแนวคิด 2. การประเมินแบบปลายเปิด
(open-ended assessment) เนื่องจากแนวคิดการประนีประนอมต่อรองเพื่อลงข้อสรุป
ดังนั้นจึงไม่มีค าตอบที่ตายตัว แน่นอน ถูกต้องเพียงค าตอบเดียวสร้างความรู้เชื่อว่าการสร้างความรู้มาจากการส
ารวจความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายเพื่อน าไปสู่การ แต่มีทางเลือกได้หลายแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย
การประเมินจึงเป็นแบบปลายเปิด เพื่อตรวจสอบการประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced)แต่การประเมินตามแนวคิดการสร้างความรู้จะเป็นแบบว่าผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจและสามารถน าความรู้ไปใช้เพื่อเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเองหรือไม่
3. การประเมินแบบไม่อิงเกณฑ์นักออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบนิยมไม่อิงเกณฑ์แต่ใช้วิธีการประเมินหลายวิธีร่วมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น